ปีนัง มันที่ไหนวะ?
บอกเลยว่าเพิ่งรู้จักปีนังไม่นาน ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามันเป็นยังไง อยู่ที่ไหน จนกระทั่ง 5 เดือนที่แล้ว พี่ชายเรา ไลน์ส่ง กระทู้นึงในพันทิปให้ดู พร้อมกับบอกว่า “ไปมั๊ย? ปีนัง”
ยังไม่ทันได้ตอบ มันก็บอกต่อว่า “จองตั๋วให้ละนะ ไป 5 กลับ 7 กันยา ลางานศุกร์วันเดียว”
“ห่ะ!?!?!?!”
เดี๋ยวๆ คือ ‘ไปมั๊ย’ นี่เป็นประโยคคำถามหรือบอกเล่าวะ! ยังไม่ได้กดดูกระทู้ รู้แต่เป็นที่เที่ยว ก็เลย…
“เออๆ ไปก็ไป” :P
ที่มันชวนเพราะมันเห็นเราเขียนรีวิวตอนไปสังขละคนเดียวครั้งที่แล้ว แล้วมันอยากไปด้วย ไม่ใช่อะไร โถ่ๆ ประกอบกับ ตอนนั้นตั๋วโปรแอร์ลดราคา มันเลยซื้อให้ กทม-หาดใหญ่ 399บ ถูกกว่ารถทัวอีกกก กะว่าจะนั่งไปลงหาดใหญ่แล้วต่อรถไฟข้ามประเทศ
………………..
ช่วงเวลา 5 เดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว จนเกือบลืมไปแล้วว่าต้องไป เที่ยวเยอะ งานเยอะ วุ่นวาย ไม่มีเวลา ได้มาหาข้อมูลจริงๆจังๆ 1 อาทิตย์ก่อนไป เพราะพี่ดันบอกว่า ไปไม่ได้แล้ว ติดงาน!!
ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะรู้สึกกลัวๆนะ ที่ต้องไปคนเดียว แต่ตอนนี้เริ่มชินละ – – เลยต้องวางแผนเอง และคิดเอาเองว่า ไป 3 วันไม่น่าจะพอ จึงแอบไปจองตั๋วกลับอีกวันนึง หาดใหญ่-กรุงเทพ ยอมทิ้งของฟรีซักหน่อย ไปต่างประเทศทั้งที ต้องเอาให้คุ้ม :}
สิ่งที่ควรรู้ก่อนไป ปีนัง มาเลเซีย
และนี่ คือข้อมูลเท่าที่เรารู้ ก่อนไปปีนัง (ข้อหลังๆเป็นสาระสำหรับคนกำลังแพลนวิธีเดินทางนะ)
- ปีนังอยู่มาเลเซีย – -“
- เป็นเกาะ ติดทะเล ติดภูเขา :)) (ชิลแน่ๆ)
- เป็นเมืองศิลปะเมืองหนึ่ง Wall art ทั่วทั้งเมือง ร้านกาแฟเก๋ๆ และ Art Gallery ชิกๆคูลๆ (นี่แหละ ที่ต้องการ)
- เป็นเมืองเก่า ตึกเก่า สไตล์ชิโนโปตุเกต เมืองมรดกโลก (เตรียมตัวเดินขาลากได้เลย)
- เมืองรักสงบ เมืองศาสนา ไม่ค่อยกินแอล(ทริปนี้ต้องโนแอลสินะ)
- มีสะพานที่ยาวมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สวยด้วย
- มีเมืองหลวงชื่อจอร์จทาวน์ (เล็งที่พักย่านนี้แหละ)
- เมืองบาตู เฟอริงงิ (Batu Ferringhi) ห่างจากจอร์จทาวน์ 1 ชม. มีทะเลสวย หาดทรายขาว (ว่าจะไปนอนวันนึง)
- เวลาที่มาเลเซีย เร็วกว่าไทย 1 ชม.
- เงิน 1RM(ริงกิด) ~ 10THB(บาท)
- จากสนามบินหาดใหญ่ ต้องนั่งแทกซี่300/สองแถว30 เข้าเมืองไปขึ้นรถตู้ แถวโรงแรมอโลฮ่า KST Travel รอบ 9.30/12.30/14.00/17.00 450บาท
- มีรถไฟ มีเครื่องบิน ตรงจากกรุงเทพไปปีนัง
- สถานีรถไฟ สถานีรถบัส สถานีรถเมล์ อยู่ใกล้กัน เดินได้ ป้ายชัด
- Jetty(เจ็ตตี้) คือชื่อท่าเรือที่ข้ามมาจากฝั่งบัตเตอร์เวิท เป็นจุดเริ่มต้นของรถเมล์ทุกสาย
- Komtar(คอมต้า) เป็นตึกที่สูงสุด ศุนย์กลางเมืองจอร์จทาวน์ เป็นห้าง มีรถเมล์หลายสายผ่าน
- มีรถเมล์ฟรี!!! มีแทกซี่แพงมาก!!!
- สาย 204/502 ผ่าน Lebuh Chulia(ใกล้ที่พัก ที่กิน เมืองเก่า) สาย 101 ไปทะเลบาตูได้ 2.7RM~27THB (รถเมล์หมด 5 ทุ่ม)
แพลนทริปการไปต่างประเทศคนเดียวครั้งแรกอะ เล่นเอาเหนื่อย เอาหละ เตรียมตัวไป เย๊เย๊
คืนก่อนวันเดินทาง…
พี่ชายเรา อยู่ดีๆฮีก็เปลี่ยนใจไปด้วย – -“ จริงๆ ฮีหลอกให้เราแพลนแน่ๆ ชริ แต่ฮีไม่รุ้ว่า เราแอบทิ้งตั๋ว แล้วไปซื้อตั๋วไหม่อยู่ต่ออีกวัน 55
5 กันยา เวลาเช้าๆ ต้องแหกขี้ตาตื่นไปขึ้นเครื่อง ก่อนขึ้นเราโทรไปถามรอบรถตู้ที่หาดใหญ่ไว้ มีรอบ 12.00 และ 14.00 ซึ่งเราจะถึงสนามบินหาดใหญ่ 11 โมง แล้วต้องต่อสองแถวเข้าเมืองอีกประมาณ 1 ชม อยากได้รอบเที่ยง แต่ก็ไม่กล้าจอง กลัวจะเข้าเมืองไม่ทัน เลยบอกเค้าไปว่าเดี๋ยวดูก่อน แต่คุณนางคิวรถตู้ก็โทรมากลับมาจัง “เนี่ยยย น้องจะจองไว้ก่อนมั้ยคะ เพราะมีคนเยอะ เดี๋ยวเต็มก่อน พี่จะได้ล็อคคิวไว้ให้” ก็บอกละไง ว่ากลัวไปไม่ทัน นางก็ย้ำๆให้ขึ้นแทกซี่ไป 300 บาทเอง
ห๊ะ! 300 บาทเองงงงงจร้าาาา เพิ่มอีกร้อยนึงคือบินกลับได้เลยอะ แต่แล้ววว…ก็ฉุกคิดขึ้นได้ พี่ชายอยู่ทั้งคน กลัวอะไร ให้มันจ่ายค่ะ :P
ปล. หรือจะเรียกทริปนี้เป็น Sponser Review ดีนะ แต่จะให้เรารีวิวอะไรพี่เราวะ หนุ่มสปอต อายุ 27 รวย ใจดี มีแฟนแล้ว หน้าตาก็..งั้นๆ สู้น้องก็ไม่ได้ 5555 ถุ้ยยยย! มันใช่เรื่องมั๊ย? 555
นาฬิกาที่สนามบินหาดใหญ่บอกว่า อีก 15 นาทีรถตู้ปีนังจะออกละ
เนื่องจากทางพี่รถตู้เตือนมาว่า อย่าบอกแทกซี่มิเตอร์นะ ว่าจะไปคิวรถตู้ปีนัง ให้บอกว่าไปโรงแรมอโลฮ่า เดี๋ยวพี่แทกจะหลอกพาอ้อม พี่ชายเราเลยเลือกไปแทกซี่ลีโมซีนของสนามบิน 320 บ เพิ่ม 20 บ ตัดปัญหาแทกพาอ้อม เพื่อความรวดเร็ว ซึ่งจริงๆแล้ว แทกธรรมดาคงราคาไม่ถึงเท่านี้หรอก มั๊ง
นี่สินะ เอาเงินแก้ปัญหา – -”
บริษัทรถตู้ หาดใหญ่ – ปีนัง
เรามาถึงเลทประมาณ ครึ่งชม. บริษัทรถตู้เราอยู่หน้าโรงแรมอโลฮ่าเลยค่ะ ซึ่งก็คือจุดที่เรายืนถ่ายอยู่นี่แหละ มีรถตู้อยู่คันนึงจอดอยู่ มีรอขึ้นคนอยู่สองคน คือฝรั่ง 1 คน และพระสงฆ์ อีก 1 ไหนบอกคนเต็มวะคะ
ด่านสะเดา
พี่รถตู้พาเรามาถึงด่านสะเดา จังหวัดสงขลา แอบเสียใจนิดนึง เพราะเราอยากไปด่านปาดังเบซา มันไม่ได้มีอะไรหรอก แค่ชื่อเพราะเฉยๆ เลยอยากไป ฮ่าๆ ผ่านด่านเรียบร้อยก็ขึ้นรถตู้ นั่งเคลียปัญหาชีวิตก่อนตัดจากโลกไร้โทรศัพท์ แล้วเงยหน้ามาเสพย์สิ่งที่อยู่ตรงหน้าให้มากที่สุด
แต่แล้ว ก็มีเสียงโทรศัพท์ดังขึ้น “น้องค้า พี่ขอคุยกับคนขับหน่อยค่า” (เป็นสำเนียงใต้นะ) พี่ที่ท่ารถตู้โทมาค่ะ คือพี่คนขับเค้าลืมโทรศัพท์ไว้ที่ออฟฟิส หลังจากนั้น โทรศัพท์เราก็กลายเป็นโทรศัพท์เค้าไปเลย โทรมาหลายรอบมาก – -”
กลับไปเอาโทสับมั๊ยพี่?
นั่งรถตู้ไปปีนัง
เรื่องราวของพี่รถตู้ยังไม่จบ ระหว่างนอนหลับอยู่บนรถ เข้าเขตมาเลเซียซักพัก ก็เริ่มร้อนๆ มาเลเซียมันร้อนกว่าไทยรึยังไง? แล้วมองไปที่พี่คนขับ คือ พี่จะปิดแอร์ เปิดกระจก เพื่ออออ…..
สรุปว่า แอร์เสีย ไม่บอกซักคำ อากาศร้อน ต้องเปิดกระจกรับลม นอนไม่หลับตลอดทาง 4 ชม.
ตามนั้นค่ะ – -”
ปีนังเป็นเกาะ
ข้ามเกาะ เราบอกพี่คนขับว่าจะลงฝั่งจอร์จทาวน์ ในใจนี่กะว่าจะได้นั่งรถข้ามสะพานปีนังแหละ แต่ที่ไหนได้ คุณพี่ก็เอารถตู้ขึ้นเรือข้ามเกาะ – -“
ความฝันข้ามสะพานที่ยาวที่สุดล่มสลายทันใด คงได้แค่มองอยู่ไกลๆ T___T เอาน่า ขึ้นเรือก็ได้เห็นอีกมุมแหละ เนอะ
จอร์จทาวน์ (Gorgetown)
ถ้าทุกอย่างเป็นไปตามแผน หลังจากข้ามฝั่งมาแล้ว เราจะเจอกับท่ารถเมล์ และขึ้นรถสาย 204 ไปลงที่พักอย่างสบายใจ แต่ อิสองพี่น้องคู่นี้ ลืมอะไรไม่ลืม เสือก ลืมแลกเงิน!!!! ทำให้ไม่สามารถขึ้นรถเมล์ได้ จึงต้องออกเดินทางด้วยสองเท้า หาที่รับแลกเงินไทย
เดินเรื่อยๆ
แลกเงิน
เดินไปเรื่อย จนมืด จนเมื่อย สรุปหลงทาง – -“ ได้มาแลกเงินที่ร้านขายทัวร์ 2000 บาท ได้เกือบ 200ริงกิต (จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่) แล้วหาทางเดินกลับไป jetty อีกรอบ เพื่อนั่งรถเมล์ จริงๆมาเปิดดู MAP ทีหลัง พบว่า ตัวเองได้เดินตามทางไปที่พักได้ครึ่งทางแล้ว และเดินกลับไปขึ้นรถเมล์ในระยะทางอีกเท่านึง
เพื่อออ….
RED IN CABANA HOSTEL, Penang
เราพักที่ RED INN CABANA เป็นโฮสเทลบนถนน Lebuh Leith จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่รู้ว่ามันอ่านว่าถนนอะไร
อ่านเอาเองว่า เลบูเล่ – -“ Lebuh น่าจะแปลว่า ถนน
เราจองที่นี่ไว้ก่อนมา 303 บาท ผ่าน www.booking.com ตอนนั้นยังคิดว่าตัวเองเดินทางคนเดียวอยู่ เลยจองโฮสเทลแค่เตียงเดียว ส่วนพี่ชายเราไม่ได้จองให้ มันมาถามเอาข้างหน้ารีเซฟชั่นเลย ละมัน จะเอาห้องเดี่ยว!!
โอ้ยยยยยย พี่ไม่ฟิลน้องเลยยยย น้องอยากนอนห้อง Dorm Backpacker หนะ เข้าใจปะๆๆๆ สุดท้าย ห้องเดี่ยวเต็ม เลยได้นอนห้อง Dorm ด้วยกัน ทั้งห้องมี 4 เตียง แต่มีคนนอนแค่เราสองคน – -“ เรามาถึงตอนค่ำๆนะ แต่ภาพเซตนี้เป็นของเช้าวันถัดมา
DINNER
กินอะไรดี
เก็บของเข้าที่พักได้เรียบร้อย ก็เตรียมออกเดินสำรวจ(อีกแระ)
ข้างๆที่พักเราเป็นฟู๊ดคอร์ทใหญ่ๆเลย เรียกว่า RED GARDEN มีอาหารมาเล จีน เกาหลี ญี่ปุ่น ฝรั่ง รวมถึงอาหารไทยด้วย เราเลย จัดไป อาหารมาเลเซียสุดฮอต ตามป้ายเลยค่ะ
Lak sa (Famous Penang Local food) 4RM หลักซา เป็นประมาณเส้นๆกับน้ำซุปปลา มีน้ำจิ้มใส่ช้อนมาด้วย แหม่ ดูพิถีพิถันในการกิน กุจะซดน้ำชิมก็ไม่ได้ ต้องเทน้ำจิ้มก่อน ตอนแรกขอเค้าเพิ่มปลาหมึกลงไปด้วยได้มั๊ย เค้าดันไม่ให้ (หรือเราพูดไม่รู้เรืองก็ไม่แน่ใจ) 5555 ถ้าจะให้อธิบายคำแรกที่ได้ลิ้มรส นี่มันก๋วยจั๊บ+แกงส้ม+ขนมจีนน้ำยาป่าใส่ปลาร้านี่หว่า!!!!! คหสต นะ เรากินคำเดียวแล้วจอดเลยค่ะ
เลยไปแจมเนื้อสะเต๊ะ กับปลาหมึกผัดอะไรซักอย่างของพี่ค่ะ เป็นเมนูที่มันก็จิ้มเดาๆ ของมันอร่อยกว่าของเราหลายเท่าเลยหละ
จบของคาวละตามด้วยของหวาน เราเดินไปต่อที่ถนนจูเลีย (Lebuh Julia) ไม่ไกลจากที่พักเท่าไหร่ เจอร้านน้ำแข็งใส เรียกว่า ice kacang อร่อยดีนะ 2RM
LOKLOK
ตามด้วยของคาวอีกครั้ง เป็นร้านข้างทางที่ น่าลองมากกกกกกกก ป้ายร้าน เขียนว่า Lok Lok ขายเป็นไม้ ไม้ละคำ ราคาดูตามสีของไม้ ประมาณลูกชิ้นบ้านเราแหละ 5 บาท 10 บาท แต่ที่นี่มีลูกชิ้นหลายชนิดมาก มีหมูพะโล้ด้วย หอยแครง แมงกระพรุน ปลาหมึกกรอบ หมึกธรรมดา เลือกหยิบได้เลย บางอันต้องเอาไปลวกก่อน มีหม้อให้ลวกเองเดือดปุดๆ หน้าเราเลย (เอ๊ะ หรือ Lok Lok มันแปลว่า ลวกลวก วะ?)
เรายืนกินหน้าร้านนั้นแหละ มีน้ำจิ้มให้เลือกด้วยนะ ชิลลี่ซอส กับ ไทยชิลลี่ซอส สีเหมือนกันเด๊ะ แต่ไทยชิลลี่เผ็ดกว่า
ด้วยความตื่นเต้นกับอาหารตรงหน้า หยิบกินไม่หยุด เผลอกินปลาหมึกดิบแบบไม่ลวกไปคำนึง แอ๊ะ -x- แต่ก็ ประทับใจ ล๊วกล๊วก มวกมวกกกคร่าา
NIGHT OUT PENANG
จากการรีเสิชข้อมูลก่อนมา เค้าบอกว่า ปีนังเป็นเมืองรักสงบ เป็นเมืองเคร่งศาสนา ไม่ใช่สถานที่ Night Life ถ้าเปรียบเทียบกับประเทศไทย ปีนังก็เปรียบเสมือน…อยุธยา…
แต่
เมื่อได้มาเจอกับตัว ไหนบอกสงบ! ไหนบอกไม่แอล! ร้านเหล้าเบียร์เพียบเลยจร้าาาาา KAREE ริมถนนก็เพียบเช่นกัน ดีลีทภาพเมืองเก่าเงียบสงบในหัวแทบไม่ทัน เราไม่ได้แอนตี้อะไรหรอก แค่มันไม่ใช่อย่างที่เรารู้มาแค่นั้นเอง แล้วก็ไม่ปฏิเสธด้วย ว่าเราก็อยากนั่งดื่มนั่งชิลเหมือนกัน มันอาจเคยเป็นเมืองที่สงบจริงๆก็ได้ จนกระทั่งมีนักท่องเที่ยวเยอะขึ้นเรื่อยๆ ตามกฏของอุปสงค์-อุปทาน มีความต้องการซื้อก็มีความต้องการขาย
เราอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ความสงบที่เคยมีเปลี่ยนไป แต่เราก็ไม่อยากให้คนพื้นถิ่นเสียรายได้เช่นกัน 555
เช้าวันใหม่
สิบโมงเช้า วันที่ 6 ก.ย. ตื่นมาแบบสดชื่น นอนอิ่ม แต่กินไม่อิ่ม เพราะตื่นไม่ทัน breakfast 5555 อาบน้ำแต่งตัว ลงมารอพี่ที่ Lobby ข้างล่าง
ระหว่างนั่งกินมาม่ามาเลที่ซื้อมาลองตั้งแต่เมื่อวาน ก็มีลูกแม่บ้านมาเล่นด้วย ชื่อนิน่า นางบ้ากล้องมากกก ส่วนฉันก็รักเด็กค่าาาาาา ^____^ บอกลา Red Inn cabana แล้วแพคกระเป๋าไปหาที่พักไหม่กัน
ขึ้นรถเมล์ไป บาตู เฟอริงกิ(Batu Feringhi)
แพลนวันนี้เราจะไป บาตู เฟอริงกิ(Batu Feringhi) รีเสิชมาว่าเป็นเมืองติดทะเลที่ฮอตที่สุดของเกาะปีนัง สามารถเดินทางไปได้ด้วยรถเมล์สาย 101 ใช้เวลาเดินทางจากจอร์จทาวน์ประมาณ 1 ชั่วโมง เรากะพี่เดินออกไปรอรถเมลหน้าเซเว่นถนนจูเลีย ว่าจะไปที่เจ็ทตี้ เพราะที่นั้นเป็นจุดเริ่มต้นของรถเมล์ทุกสาย เมื่อไปถึงก็เห็นเลยว่ามีรถ 101 จอดอยู่ โอเค ขึ้นเลยเพ่
เวลาขึ้นรถเมล์ที่นี่ จะต้องขึ้นที่ประตูหน้า แล้วต้องบอกกับคนขับว่าจะไปที่ไหน เค้าก็จะบอกราคาเรา อีกอย่างคือ รถเมล์ไม่มีทอนนะ เตรียมเงินหยอดตู้ให้พอดีด้วย
พี่เราขึ้นปุ๊ปก็บอกคนขับว่าจะไปบาตู ฮีคนขับบอกว่า “4ริงกิต”
อ้าวเห้ย กุโวยวายเลย ดูในพันทิปมา เค้าบอกว่า 2.7ริงกิต เองนี่ ส่วนพี่เรากำลังควักตังเพิ่มละ นางชอบใช้เงินแก้ปัญหา – -“ พอกำลังจะหยอดไป 8 ริงกิตสำหรับ 2 คน พี่คนขับปัดมือออก “โนโนโน” แล้วหยิบตั๋ว 2.7 ยื่นมาให้
“Batu Ferringhi 2.7RM” ฟังชัดๆอีกที “บาตู เฟอริงกิ”
ที่ซึ่งพวกเราได้ยินเป็น “บาตู โฟ(4)ริงกิต!!!!” ฟังผิด เงิบบบบบบบเลยยยยย ทั้งพี่ทั้งน้อง 55555
ปล.แล้วรถเมล์สาย 101 ที่เราขึ้น ก็ขับผ่านจูเลีย ที่ๆเรารอรถเมล์ รู้งี้แค่ข้ามถนนมารออีกฝั่งก็ได้ละ ไม่ต้องนั่งไปเริ่มถึงเจ็ทตี้
บาตู เฟอริงกิ(Batu Feringhi)
บาตูโฟริงกิต! อยู่ทิศเหนือของเกาะปีนัง
ระหว่างทางเป็นทางขึ้นเขา จะขี่มอไซด์มาก็ได้ แต่ยากอยู่ เรียบชายฝั่งทะเลส่วนใหญ่เป็นหิน มีคนเล่นน้ำบ้างปะปราย และตลอดทางจะมีโรงแรมหรูๆ คอนโดสูงๆ แย่งวิวริมทะเลกัน เหมือนมันเป็นเมืองตากอากาศของไฮโซมาเลเซียไงไม่รู้ ต่างจากโซนเมืองเก่าลิบลับ (ก็แน่สิ – -“) นั่งๆนอนๆไป แป๊ปเดียวก็ถึง
ถามว่า รู้ได้ไงว่าถึงบาตู ตอนนี้คงต้องเปิด MAP ดูละ เพิ่งรู้ว่า map ใน iphone ใช้งานได้ โดยไม่ต้องมีสัญญาณมือถือ ฮ่าๆ
PENANG BEACH
เราลงแถวหน้าโฮสเทลที่เล็งไว้ ชื่อ Roomies Penang ซึ่งมันก็ห่างไกลจากย่านดาวน์ทาวน์นิดหน่อย แต่ก่อนเข้าที่พัก เลยลงไปสำรวจทะเลจั๊กหน่อย
สูดหายใจแรง อาาาาห์~~~~
กลิ่นเค็มโชยมา
กลิ่นทะเลหนะหรอ?
ป่าว
กลิ่นขยะ! – -“
ทะเลที่นี่เหมือนหัวหินเลยอะ น้ำไม่ใสเท่าไหร่ คนก็ไม่เยอะเท่าไร่ ร้างๆ อาจเพราะโซนนี้เป็นโซนนอกดาวน์ทาวน์ก็ได้
จริงๆก็อ่านรีวิวมาบ้างแหละ ว่าไม่ต้องมา มันไม่สวย ขยะเยอะ แต่เสือ ก อยากมาเห็นของจริงไง พอดีเป็นคนดื้อ ไม่เจอกับตัวเองก็ไม่เชื่อหรอก จริงๆ ให้เราอยู่ก็อยู่ได้นะ เพราะเราอยากพักย่านไหม่บ้าง แต่พี่เราไม่อยากอยู่ นางเรื่องมาก 555 เราเดินเล่น กินข้าว นั่งชิว ซักพัก แล้วก็นั่งรถเมล์กลับไปจอร์จทาวน์เลย อุส่าห์แบกกระเป๋ามา – -”
HOUSE OF JOURNEY HOSTEL
กลับไปจอร์จทาวน์ ต้องหาที่อยู่ไหม่แระ ก็เลยไปเช่ามอไซด์ร้านพี่แขก แถวเซเว่นจูเลีย เค้าบอกคันละ 25RM แต่เราต่อราคาได้เหลือคันละ 200 จะว่าเราขี้งกก็ได้นะ แต่เราแค่พูดลอยๆว่า “20RM ได้มั๊ย” เอง ไม่ได้ตั้งใจ :P แต่ต้องมัดจำคันละ 100RM พี่ให้เราจ่ายก่อน หมดตูดเลย – -“
เราได้ที่พักไหม่ แถวๆเดิมนี่แหละ ในย่านเมืองเก่า ชื่อ House of Journey เป็น Dorm ห้องละ 4 เตียง 37RM ด้านล่างเป็นคาเฟ่ ชิกๆคูลๆ
เช่ามอเตอร์ไซด์
แล้วก็ออกไปขี่มอไซด์เล่นกัน เราไม่ค่อยได้ไปสถานที่ Landmark ของที่นี่ซักเท่าไหร่ แค่ได้นั่งรถกินลมชมเมืองเก่า
เห็นอะไรที่ไม่เคยเห็นในไทย เห็นวิถีคนเมืองที่ต่างกันออกไป สำหรับเรา แค่นี้มันก็เหลือเฟือแล้ว
ถนนคนเดิน
ขับไปเจอ walking street ที่ไม่เคยรู้มาก่อนว่ามี ถนนคนเดินที่นี่ มีของ handmade มีดนตรีเปิดหมวก มีวาดภาพสด
อาหารพื้นถิ่น และขนมแปลกๆ ที่นักลองของชื่นชอบ
แอบถ่าย
การแอบถ่ายคนไม่ใช่เรื่องเล่นๆ ขณะที่เราเดินเล่นแถวถนนคนเดิน ถ่ายบ้านถ่ายตึกไปเรื่อย เจอมุมไหนที่ชอบก็เดินดุ่มๆเข้าไปถ่าย เราเดินไปเจอมุมนึง พอกำลังจะเดินเข้าไปถ่าย ก็มีคนเข้ามานั่งในเฟรม แล้วก็มองเหวี่ยงๆมาที่เรา
ตอนนั้นเราก็หยาบๆหน่อย ไม่ได้สนใจอะไร รีบกดถ่ายแล้ว หันหลังเดินกลับไปถ่ายตึกถัดไป
สักพักฮีก็ร้องงงงงง!!!!!
ดังมาก!!!!!
เห้ย ตกใจอะ ตกใจมาก คนแถวนั้นก็หันมามอง ฮีก็ยิ่งร้องดัง ร้องเรื่อยๆ ไม่รู้ร้องอะไร? ร้องทำไม? หมายความว่าอะไร?
เรารีบจ้ำไปหาพี่ แล้วฮีก็ปากระป๋องแป้งเก่าๆ มาใส่เรา (แต่ไม่โดนนะ) ยิ่งตกใจกว่าเดิม กลัวด้วย หลอน น้ำตาจะไหล T_T เลยลากพี่ให้รีบๆไปจากตรงนี้ กลัวฮีจะเข้ามาชาร์ท
หลังจากเราเดินออกมาไกลแล้ว ฮีก็ยังร้องอยู่ และก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม ร้องเหมือนคนที่ไม่ค่อยปกติอะ
คือ เราก็รู้สึกผิดนะ แต่ไม่รู้ว่าเราทำอะไรผิด เราเดินมาเล็งถ่ายก่อนที่เค้าจะมานั่ง หรือนี่มันพื้นที่ของเค้า? แต่พี่ไม่ได้เข้ามาห้าม แถมมานั่งได้มุมอีก
หลังจากนี้ เราเลยเริ่มหลอน การแอบถ่ายรูปคนไปเลย – -“
CURRY MEE
เกือบจะมืดแล้ว ได้ยินเสียงละหมาดดังไปทั่วเมือง แต่สำหรับเรา ได้เวลาอาหารเย็นแล้วแหละ
ณ ตลาดหน้าเซเว่นถนนจูเลียที่เดิม วันนี้เป็นวันลองอาหารพื้นถิ่นข้างทางอีกครั้ง (ยังไม่เข็ด) เราลองสั่ง CURRY MEE ดู เพราะแอบเห็นหอยแครงในชามที่เค้ากำลังจะเอาไปเสริฟ มันจะต้องเวิลมากแน่ๆ เราชอบกินหอยเป็นชีวิตจิตใจ จินตนาการไปว่า ที่นี่ติดทะเล หอยคงจะสดมาก 555 พอได้ชิม ก็ ตามนั้นแล บะหมี่น้ำซุปแกงกะหรี่ซีฟู๊ด แซบๆ
3RM เอง
ในส่วนของพี่เรา ลองร้านข้างๆกัน เป็นบะหมี่เกี๊ยวหมูแดงขลุกขลิกซุปดำ มันเหมือนบะหมี่แห้งนะ แต่มันไม่แห้ง จะว่าบะหมี่น้ำ มันก็ไม่ใช่อีก ก็เลยเป็นน้ำขลุกขลิก ฮ่าๆ อันนี้เราว่าพอถูไถ ชายสี่อร่อยกว่า
เวลาเรามากินที่นี่ จะมีโต๊ะให้นั่งอยู่ข้างหลัง นั่งปุ๊ป จะมีเด็กเสิรฟจากร้านน้ำมาขายน้ำทันที ถ้าไม่ซื้อ ไม่ให้นั่ง! เวนละ คิดไม่ออกจะกินน้ำอะไร ถ้าทุกอย่างจะ 2RM ขนาดนี้ เอาน้ำสัปรสละกัน
แต่แล้ว ฉันก็ได้น้ำแอปเปิ้ลมา – -“
GURNEY DRIVE
เคยอ่านมาว่า มาปีนัง ห้ามพลาด GURNEY DRIVE มันเป็นฟู๊ดคอร์ทเอาท์ดอร์ใหญ่ๆแห่งหนึ่ง เรียบทะเล หลังห้าง GURNEY ชื่อมันเท่ เลยอยากลอง อีกอย่าง ที่นี่ใน MAP ก็ไม่มีนะจร๊าาาาา เราถามพี่ที่โฮสเทลเอา
ขับมอไซด์จากเซเว่นจูเลียไปประมาณ 10 นาที ระหว่างทางเป็นถนนเรียบทะเลที่ไม่มีหาด มีติดไฟประดับสวยงาม มีลานเอาไว้ให้คู่หนุ่มสาวมานั่งจีบกันใบบรรยากาศชิลๆ
พอมาถึงเจอนี่ไดรฟ์ พบว่า มันก็คือตลาดโต้รุ่งใหญ่ๆนี่เอง มีอาหารละลานตา แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหนดี เลยลงเอยด้วย แฮมเบอร์เกอร์ กับไทเกอร์เบียร์ – -“ เป็นเพราะพวกเราเสี้ยนเนื้อกันค่ะ ฮ่าๆๆ อยากกินเนื้อวัว
ซุปกระดูกวัว
นั่งดื่มอยู่อีกซักพัก
เห็นโต๊ะข้างๆ ถือชามน้ำซุปกระดูกอย่างใหญ่มาวางที่โต๊ะ มันไม่ใช่น้ำซุปกระดูกธรรมดานะ มันคือโ ค ต รกระดูก กระดูกใหญ่มากจนล้นชาม จะว่าอิ่มก็อิ่ม แต่มันก็อยากลอง เลยเดินไปหาร้านต้นฉบับที่มาของซุปชามนี้ ได้ความว่า SUP GEAR BOX ชามละ 20RM!!! 200 บาทนี่กลับไปกินบะหมี่จูเลียได้เกือบ 7 ชามเลยนะเว้ยยยย อีกอย่าง เงินที่เราสองคนแลกมาก็ใกล้จะหมดแล้ว…
แต่เหตุผลใดๆก็ไม่มีความหมาย เมื่อความอยากกินมันครอบงำ
โดนไป ฟินจริงอะไรจริง สำหรับคนชอบกินเนื้อ น้ำซุปร้อนๆหอมๆ กับเนื้อติดกระดูกที่ร้านเลาะออกใส่ซุปให้ตักกินง่ายๆ มีหลอดไว้ดูดไขกระดูกมากิน ข้นๆมันๆ แต่เรากินไขเพียวไม่ได้หวะ ต้องเอาน้ำซุปหยอดเข้าไป คนๆผสมกัน ละค่อยกิน
ค่ำคืนนี้ จบลงด้วย ซุปโ ค ต ร กระดูกวัวชามนี้เอยยยยย…..
เช้าวันรุ่งขึ้น
พี่เราต้องกลับ ส่วนเราจะอยู่ต่อ (แอบโดนด่านิดนึง ที่ทิ้งตั๋วเครื่องบิน แต่ทำไงได้อะ ไม่อยากกลับ – -“) แต่ก็แอบโหวงเหวงอยู่เหมือนกัน บ๊ายบายพี่ชายย…. หลังจากนี้เราต้องออกโรงเองซะละ
เราออกไปส่งพี่ที่หน้าโฮสเทล 9โมงเช้า แล้วกลับมากิน Breakfast ฟรี แล้วเข้าไปนอนต่อ – -“
RYOKAN CHIC HOSTEL
ตื่นมาอีกที 11โมง!! นางจะขี้เกียจไปไหนนนน แล้วนางก็เพิ่งนึกได้ว่า วันนี้มีแพลน
ต้องไปคืนมอไซด์ตอนบ่าย 2
ต้องไปดูรอบรถกลับ
ต้องออกไปหาที่พักไหม่
ต้องไปปีนังฮิล
ต้องไป Hin Bus Depot Gallery
ต้องไป Camera Museum
เราเชคเอ้าออกจาก HOUSE OF JOURNEY แล้วขับมอไซด์ไปหาที่พักไหม่ ที่พักที่เราเล็งไว้ก็ดันเต็ม ไปอีกที่ก็เจอรูมเมทชายฝรั่งอ้วนนอนถอดเสื้อ (อยู่ดีๆก็กลัวขึ้นมาอี๊กก) ไม่เอาๆ
มาจบที่ RYOKAN CHIC HOSTEL เพราะขี้เกียจหาแล้ว ตกลงเอา Dorm เตียงละ 30RM เราเตรียมบัตรเครดิตจะจ่าย ดั๊นนน ไม่รับบัตรเครดิต แม่จะกรี๊ดๆๆๆ เลยควักเงินทั้งหมดที่มีจ่ายไป แถมขอค่ามัดจำกุญแจอีก 30RM
ห่ะ!!! ลืมคิดเรื่องค่ามัดจำไปเลย เหลือแต่เงินไทย 300 บาท แทนได้มั๊ย?
เรียกว่าหมดตูดอะค่ะ ตอนนี้
เงินหมด
เราฝากของไว้ที่โฮสเทล แล้วออกไปหาที่กดตัง บอกเลยว่า ที่นี่ไม่ได้กดตังง่ายๆนะจร้าาา ตู้ ATM หน้าเซเว่นก็ไม่มีเหมือนบ้านเราด้วย ต้องไปกดที่ธนาคาร เราก็ขับวนหาธนาคารอยู่นาน น้ำมันก็จะหมดอะไรตอนนี้เนี้ยยย
ในที่สุด ก็เจอธนาคาร CIMB ที่ตึกคอมต้า และในที่สุดอีกที นางก็พบว่า ลืมเอาบัตรมาาาาาาา!!
โอ้ยยยย จาร้องห๊ายยยยยย ~ ~ ทำไมนางเป๋อได้ขนาดนี้ T___T
เซ็ง! บอกเลยตอนนั้นเซงมาก ไม่กดมันแล้ว! ขับกลับไปกลับมา เด๋วก็หมดเวลาพอดี ปลอบใจตัวเองว่า “เงินหนะ มันไม่ได้สำคัญอะไรกับชีวิตขนาดนั้นร๊อกกก” (พูดปนน้ำตา 555)
แล้วออกเดินทางต่อไป ตามหาที่ที่ฉันจะมีความสุขได้…….โดยไม่ต้องใช้เงิน
….นี่แหละ
Hin Bus Depot Gallery
เป็นสตูดิโอส่วนตัวของ Ernest Zacharevic ศิลปินที่วาดภาพบนผนังของจอร์จทาวน์ ซึ่งกลายเป็นเอกลักษณ์ของที่นี่ไปแล้ว เสพย์สุขให้เต็มที่ เดิน นั่ง นอน ตีลังกา หรืออะไรก็ได้ ก็ไม่มีคนเห็น รอยยิ้มปรากฏลงบนหน้าฉันอีกครั้ง เพราะ gallery นี้
“เข้าฟรี” :}
ถ่ายรูปตัวเอง
มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะ มาเที่ยวคนเดียว แล้วเจือกอยากมีรูปตัวเองเนี่ยยย ตั้งเวลากล้องไอโฟนเซ้วฟี่ นอกจากจะได้ background หัวขาดแล้ว ยังวิ่งไปเก๊กไม่ทันอีก
เฮ้อ …
คืนมอไซด์
เค้าบอกต้องเติมน้ำมันให้เต็มถังก่อนเอามอไซด์มาคืน เราขุดค้นกระเป๋าทุกซอกทุกมุม เจอเหรียญและแบงค์รวมกันได้ 4RM ปั๊มน้ำมันที่นี่เป็นแบบเติมเองนะ แต่เราเติมไม่เป็น เลยต้องไปเรียกเค้ามาเติมให้ 4 ริงกิตสุดท้ายยยยย
จากน้ำมันเกลี้ยงถัง เติม 40 บาทก็ล้นแล้วจร้าาาาา ที่นี่น้ำมันถูกจริงๆ
หลังจากคืนมอไซด์ เราจะได้เงินมัดจำมา 100RM เป็นไทละ!! เอาไปซื้อตั๋วรถกลับ
แดก
บอกเลยว่าวันนี้เป็นวันไร้สาระของเรามาก นั่งรถเมล์ฟรีไปตึกคอมต้า พยายามจะกดเงินอีกครั้ง แต่ก็ไม่สามารถ ไม่รู้ทำไม กดไม่ได้ หรือกดไม่เป็น ก็ไม่รู้ – -“
ป ล ง
กินเคเอฟซีมันซะเลย นี่แหนะ!!!!
ซื้อตั๋วกลับไทย
จริงๆ เที่ยวคนเดียวบางทีก็รู้สึกดี บางทีมันก็ควบคุมตัวเองไม่ได้ เราเป็นคนขี้เกียจ เอื่อย เฉื่อย ตื่นก็สาย
พอไม่มีคนมาจำกัดเวลา อะไรๆมันก็เลยช้าไปซะหมด
เรานั่งรถเมล์ไปต่อเรือที่เจ็ทตี้ เพื่อเข้าฝั่งบัตเตอร์เวิธ ไปดูรอบรถไฟ กับรอบรถบัสขากลับ แล้วเดินเล่นเรื่อยเปื่อย
ดูนาฬิกาอีกที นี่เกือบหมดเวลาไปอีกวันละ – -“
มีรถไฟเข้ากรุงเทพรอบเดียว คือ บ่าย2 (110RM) ส่วนรถบัสไปหาดใหญ่ มีประมาณ 4 รอบ แต่เราจำไม่ได้ เราเลือกรอบบ่าย 2 (30RM)
เดินเล่นรอบเมือง
เนื่องจากทริปนี้เงินหมด จึงต้องตัด ‘ปีนังฮิล’ ออกไป แล้วเปลี่ยนมาเดินเล่นรอบเมืองแทน ไปปีนังฮิลต้องเสีย 30RM สำหรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ จะได้นั่งรถไฟรางขึ้นไปบนยอดเขา และสามารถเห็นวิวเมืองปีนังได้ทั้งเมือง ว่ากันว่า สวยงามมากก “มาปีนังถ้าไม่ได้ขึ้นปีนังฮิล ถือว่ามาไม่ถึง!!!”
รู้สึกเสียดายจนถึงทุกวันนี้ – -“
ในเมื่อ BIRD EYES VIEW ไม่ไหว ก็เป็น WORM EYES VIEW แทนละกัน ว่าแล้วก็ไปเดินเล่นหมู่บ้านชาวประมง
แถวนี้มีบริการสปี๊ดโบ้ท เที่ยวเกาะด้วยนะ
MUSEUM CAMERA
คนรักกล้องคงจะชอบที่นี่นะ มันอยู่ซอยเดียวกับที่พักเราเลย มี2ชั้น ชั้นแรกเป็นแกลอรี่ กับคาเฟ่ ส่วนชั้น 2 เป็นส่วนของ Museum ซึ่งเราไม่ได้ขึ้นไปค่ะ เพราะอะไรน่าจะรู้ ฮ่าๆๆๆ
เดินเล่น LOVE LANE
ซอยนี้ชื่อน่าร๊ากกก มีโฮสเทล มีร้านกาแฟ ร้านจักรยาน บาร์ เยอะและดี :P
ที่นี่ การเดินทางสะดวกมาก จริงๆถ้าจะอยู่แค่โซนเมืองเก่า มอไซด์นี้ไม่จำเป็นเลย มันเดินถึงกันได้หมด รถเมล์ก็มี รถฟรีก็มี สามล้อก็มีนะ แต่เรายังไม่ได้ลอง
สังเกตนะ พวก wall art ที่นี่จะมีแบบวาดๆ ละก็แบบเหล็กดัด แบบวาดแต่ละงานจะมีความหมายของมันเอง ซึ่งในโปรเจคแรกของพี่เออเนส คือโปรเจค Mirrors George Town ตอนนี้ในย่านเมืองเก่า มีหลากหลายศิลปินเข้ามาวาดเพิ่มเรื่อยๆ
ส่วนที่เป็นเหล็กดัดแต่ละอัน ถ้าตั้งใจอ่านดีๆ มันคือเรื่องเล่าประวัติของปีนัง แบบขำๆ นี่เองงง
ชาบูปีนัง
พอเริ่มมืดก็กลับมาที่โฮสเทล ทักทายรูมเมท 2 คน เป็นนักศึกษาอยู่กัวลาลัมเปอ แล้วทั้งสองฮีก็ชวนเราไปกินข้าวด้วยกัน
ฮีเปิดรูป steam boat ให้ดู ว่าเราจะไปกินไอ่นี่กันนะ เป็นบุฟเฟ่ กะทะหม้อไฟอยู่ตรงกลาง มีทุกอย่างที่อยากกิน ซีฟุ๊ด กุ้ง หอย ปู ปลา หมู เนื้อ ติ่มซำ จัดเต็มเลยเจ๊ สารภาพเลยตอนนั้น เห็นภาพแล้วหิวมาก โดยไม่แคร์เงินในกระเป๋า
เดินตามต้อยๆ เหมือนมีแม่เหล็กดูด
พอถึงร้าน เราก็ถล่มเลยจร้าาาา เนื้อเกาหลีมาเล เห้ย สรุปเกาหลีรึมาเลฮะ
เพื่อนใหม่
ตื่นสายๆมา เจอกับห้องที่ว่างเปล่า เพื่อนมาเลเซียเรากลับไปแต่เช้าแล้ว เพราะพวกฮีมีเรียน ฮีแอบวางพวงกุญแจปีนังเล็กๆ ไว้บนหัวนอนตอนเราหลับด้วย ฮ่าๆๆ น่ารักๆ สักพัก มีเสียงกุกๆกักอยู่ใต้เตียง (เราอยู่เตียงบน) เลยก้มลงไปดู อุ่ย! แจแปนนิสกาย นึกว่าอยู่ห้องคนเดียวมาตั้งนาน
เราทำความรุจักกันซักพัก เป็นนักศึกษามาเก็ตติ้งปีสุดท้าย ที่โตเกียว กำลังตระเวนเที่ยวทั่วตะวันออกเฉียงใต้ ละก็กำลังจะไปเที่ยวประเทศไทยต่อ นั่งรถไฟจากที่นี่ไปกรุงเทพ เราก็อยากนั่งรถไฟนะ เดินทาง22 ชั่วโมง ถึงหัวลำโพงเที่ยงวันถัดมา แต่เราไม่ได้มีเวลาขนาดนั้น
ไปกินข้าวกัน เค้าบอกมามาเลห้ามพลาดข้าวมันไก่
แล้วเจอกันที่ไทยแลนด์นะตัวเธอววววววว
BUS STATION
มาถึงBus Station ก่อนเวลาครึ่งชั่วโมง นั่งรอนานนน จนกลัวว่าตั๋วที่ซื้อมาเป็นตั๋วปลอม เดินไปถามแล้วถามอีก ล๊กมาก เหมือนนักท่องเที่ยวตื่นตูม จนมีลุงคนนึงเดินมาถาม พูดไทยด้วย เพราะเห็นว่าเราไปหาดใหญ่
“บ้านอยู่หาดใหญ่หรอ”
“ใช่ค่ะ” (หลอกๆ)
“เออ ลุงก็เคยอยู่หาดใหญมาก่อนนะ
10 กว่าปีที่แล้ว แต่เดี๋ยวนี้ลุงไปไม่ได้”
“ อ่าว ทำไมอะคะ?”
“ลุงติดคุกแล้วเค้าห้ามเข้า”
“!?!?!?!?!”
ต้องการอัลลัยยยยจากหนูววววว!?!?!? บอกหนูทำม๊ายยยยย เราลุกขึ้นแล้วทำเป็นเดินไปซื้อน้ำ แล้วสิงสถิตย์ที่หน้าร้านน้ำจนเค้าเรียกไปขึ้นรถ ลุงคนนี้แหละค่ะ
ปีนังไปหาดใหญ่
ใช้เวลาเกือบ 5 ชั่วโมงจากปีนังถึงหาดใหญ่ ถึง 6 โมงเย็นเวลาไทย และต่อสองแถวไปสนามบินอีก 1 ชม ถ้าจะนั่งแทกซี่ หรือรถกระป้อ หรือมอไซด์ เรียกเก็บเรา 300 หมดแพง แพงเว่ออออออออออออ แต่ถ้ารีบก็จัดเลยนะ เราชิลๆแระ เราเลยเดินสุ่ม ตามหาสองแถวสนามบิน 30 บาท นานพอสมควร จนได้ กลับบ้านอย่างปลอดภัย สบายดี
บ๊ายบายปีนัง
ทริปครั้งนี้ ไม่มีอะไรมาก มีแต่กินกับเดิน ปีนังใหญ่กว่าที่เราคิดไว้มาก หลังจากกลับมา ถึงรู้ว่ามีหลายที่มากที่อยากไป แต่ไม่ได้ไป ทำอะไรอยู่ตั้ง 4 วัน – -“
ขอบคุณพี่ชายแท้ๆ สำหรับตั๋วเครื่องบินไป-กลับ (แต่ขากลับไม่ได้ใช้)
ขอบคุณเพื่อนร่วมกิน สองหนุ่มนักศึกษานิติศาสตร์ใจดี จากกัวลาลัมเปอร์
ขอบคุณเพื่อนร่วมทางคนสุดท้าย ฮิโรมุ แล้วเราก็นัดกันไปดูคอนเสิร์ตแทททูคัลเลอร์ที่ไทย
ลาก่อนนะ ปีนัง ใกล้ๆเอง เดี๋ยวกลับมาไหม่ เมื่อไหร่ก็ได้ บ๊ายบาย
เงินที่เหลือทั้งหมด(197THB) และของที่ระลึกจากมาเลเซีย
ถามว่าอ่านออกมั๊ย?
สำหรับคนที่ถามเรื่องค่าใช่จ่ายปีนัง นะคะ
อาจมีเลขที่หลงลืมไปบ้าง แต่มันก็ประมานนี้แหละ แหะๆ
เรากดเงินสดไป 3000 บาท หมดเกลี้ยงค่ะ!!!
(ยังไม่รวมตั๋วเครื่องบินกับโรงแรมแรกนะ)
บางอย่างที่พี่เลี้ยง เราก็คิดราคาหารครึ่ง เช่นค่าแทกซี่ และเช่ามอไซด์
ลองเอาไปคำนวนค่าใช้จ่ายตัวเองคร่าวๆดูนะจ๊ะ
เที่ยวให้สนุกเด้อ ^_^
ปล. ในส่วนเครื่องดื่ม เราไม่รวมค่าแอลกอฮอลนะ :P