จากเมืองมรดกโลกแห่งแรกของอินเดีย…AHMEDABAD
สู่มหานครใหญ่ที่เต็มไปด้วยนักล่าฝัน…MUMBAI
มาค่ะ วันนี้จะพามาเปิดประตูสู่ 2 เมืองใหญ่ในอินเดีย
อาห์เมดาบัด เมืองสุดคลาสสิก
ได้ขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก World Heritage City แห่งแรกของอินเดีย ลองนึกภาพ เมืองที่เดินแล้วเหมือนย้อนกาลเวลา… เมืองที่ซ่อนเรื่องเล่ากว่าหลายร้อยปีในตรอก แคบๆ ชมสถาปัตยกรรมอลังการ, Stepwell โบราณ เป็นทั้งบ่อเก็บน้ และเป็นทั้งสถาน ที่ที่พักผ่อนในตัว ไปลองนอนบ้านพัก Haveli เคยเป็นคฤหาสห์ผู้ดีเก่าสมัยก่อน ที่ถูก เปลี่ยนมาเป็น B&B น่ารักๆ ในยุคนี้ ถ้าใครหลงรักความวินเทจ ต้องฟินกับเมืองนี้แน่ๆ
แล้วไปต่อกันที่ มุมไบ เปลี่ยนฟิลไปเลย มหานครริมทะเลอาราเบียน ที่เต็มไปด้วยพลังงานของนักล่าฝัน เมืองที่รถไฟวิ่งไม่เคยหยุด ชีวิตคึกคักตลอด 24 ชั่วโมง เราจะพานั่งรถไฟอินเดียสักครั้งในชีวิต ตื่นเต้นสุดๆ ไปสู่ สถานีรถไฟที่เค้าว่าสวยที่สุดในโลก UNESCO ยังการันตี นี่บางมุมยังแอบคิดว่าอยู่ อังกฤษนะ ตึกเก่าสไตล์ วิกตอเรียน กอธิก แต่พอเห็นลายแกะสลักปูนปั้น ดีเทลยุบยิบแบบ อินเดีย เสียงแตร กลิ่นเครื่องเทศ ผสมผสานผ่านสัมผัสทั้ง 5 มันมีสเน่ห์แบบที่ประเทศไหน ก็ไห้ไม่ได้จริงๆ
สองเมือง สองฟีล สองความประทับใจ! Ahmedabad โคตรวินเทจ Mumbai โคตรคูล แถมบินตรงจากกรุงเทพแบบ Full Service กับการบินไทย สบายตั้งแต่ขึ้นเครื่องยันลงสนามบิน ทั้งตรงเวลา บริการอบอุ่น อาหารบนเครื่องก็ไม่ต้องห่วงเลย อร่อยแน่นอน
ไปค่ะ พาเที่ยวอินเดียแบบง่ายๆแบบวันลาเหลือน้อย แต่อยากเที่ยวหลายฟิล
ทริปอินเดีย 4 วัน 4 คืน ตามรอยได้ทุกที่…แล้วจะหลงรักอินเดียแบบเรา

รู้ก่อนไปอินเดีย
◦ VISA
ตอนนี้อินเดีย Free Visa ท่องเที่ยวสำหรับคนไทยแล้วน้า หมายถึงไม่เก็บค่าบริการทำวีซ่า แต่ยังต้องสมัครวีซ่าก่อนไปอยู่นะ
- 1. ขอแบบ Online E-Tourist Visa สมัครที่นี่ https://indianvisaonline.gov.in/evisa/tvoa.html ใช้เวลาประมาณ 1-3 วัน อาจมีการเมลมาขอข้อมูลเพิ่ม จะได้วีซ่าผ่านอีเมล อยู่เที่ยวได้ 30 วัน ไม่มีค่าใช้จ่าย
- 2. สำหรับ Visa อินเดียแบบติดเล่มพาสฟอร์ต กรอกเอกสารที่นี่ https://indianvisaonline.gov.in/visa/index.html แล้วไปยื่นที่ Indian Consular Application Centre แบบนี้อาจจะผ่านง่ายกว่า อยู่เที่ยวได้ 1 ปี มีค่าใช้จ่ายประมาณ3600บ.
รายละเอียดเอกสารวีซ่าเยอะมาก แนะนำให้ไปหาข้อมูลเพิ่มเติมเองด้วยค่ะ
◦ MONEY EXCHANGE
การใช้จ่ายเงินของคนอินเดียส่วนใหญ่เป็นออนไลน์กันแล้ว แบบ สแกน QR CODE เหมือนบ้านเราเลย แต่กับชาวต่างชาติยังเป็น เรื่องยุ่งยากอยู่ แนะนำให้แลกเงินแบบแบงค์ย่อยๆ มา เพราะ แบงค์ใหญ่เค้าจะไม่มีทอน สำหรับร้านค้าใหญ่ๆ จ่ายบัตรเครดิตได้
◦ INTERNET
เนื่องจากเราไปแค่แป๊ปเดียว เลยใช้วิธีเปิดโรมมิ่งไปจากไทย เมือง ที่เราไปเนตถึอว่าดีเลย ส่วนถ้าใช้ Wifi โรงแรม จะไม่สามารถเข้า Tiktok ได้ค่ะ
◦ การเดินทางภายในเมือง
ที่ Ahmedabad และ Mumbai สามารถใช้ Uber เรียก Taxi ได้ เรียกได้ทั้ง รถออโต้(ตุ๊กๆอินเดีย) , รถยนต์เล็ก, รถยนต์ไฟฟ้า และ วินมอไซด์เลย ราคาถูกกว่าไทย จ่ายแบบตัดบัตรได้ ไม่ต้องพูด เยอะ ส่วนรถโดยสารสาธารณะแทบไม่ได้ใช้เลยค่ะ
ปล.ที่สนามบินจะเรียก Uber ยากสุด ลองไปตัวเลือกบูส Pre-paid Taxi หรือใช้บริการ Airport-Pickup ของโรงแรมจะสบายใจกว่า

ABOUT AHMEDABAD
อาห์เมดาบัด…รัฐคุชราต เมืองฝั่งตะวันตกของอินเดีย ก่อตั้งมาได้ 600 กว่าปีแล้ว และปี 2017 ก็ได้ขึ้นเป็น UNESCO World Heritage City แห่งแรกของอินเดีย ด้วยความ mix & match ของศิลปะวัฒนธรรมฮินดู-อิสลาม-เชน แบบลงตัว เดินไปแต่ละซอกซอยจะเจอทั้งวัดฮินดู ทั้งมัสยิด Stepwell ทั้งบ้านไม้แกะสลักสวยๆ แบบว้าว เราจะพาไปลองนอนบ้านพัก Haveli เคยเป็นคฤหาสห์ผู้ดีเก่าสมัยก่อน ที่ถูกเปลี่ยนมาเป็น B&B น่ารักๆ ในยุคนี้ ถ้าใครหลงรักความวินเทจ ต้องฟินกับเมืองนี้แน่ๆ ที่นี่ไม่ได้มีดีแค่เมืองเก่านะ เพียงแค่ข้ามฝั่งแม่น้ำ Sabarmati ก็เป็นเมืองใหญ่ ห้างหรู โรงแรมดี ไม่ต้องกลัวไป
อ้อ…ที่นี่เป็น dry state นะคะ มีกฏห้ามขายแอลกอฮอล์ และเป็นเมืองที่คนนิยมกินมังสวิรัต

ABOUT MUMBAI
มุมไบ หรือชื่อเดิม “บอมเบย์” เมืองใหญ่แห่งรัฐมหาราษฏระ มหานครริมทะเลอาราเบียน ที่เต็มไปด้วยพลังงานของนักล่าฝัน เมืองที่รถไฟวิ่งไม่เคยหยุด ชีวิตคึกคักตลอด 24 ชั่วโมง ทำให้มุมไบขึ้นชื่อว่าเป็นมหานครที่ไม่เคยหลับใหลของอินเดีย เราจะพานั่งรถไฟอินเดียสักครั้งในชีวิตสู่สถานีรถไฟที่เค้าว่าสวยที่สุดในโลก UNESCO ยังการันตี นี่บางมุมยังแอบคิดว่าอยู่อังกฤษนะ ตึกเก่าสไตล์ วิกตอเรียน กอธิก แต่พอเห็นลายแกะสลักปูนปั้น ดีเทลยุบยิบแบบอินเดีย เสียงแตร กลิ่นเครื่องเทศ ผสมผสานผ่านสัมผัสทั้ง 5 มันมีเสน่ห์แบบที่ประเทศไหนก็ไห้ไม่ได้จริงๆ

THAI AIRWAYS
ทริปนี้เราเริ่มเดินทางจากกรุงเทพ บินตรงแบบ Full Service กับการบินไทย มาลงที่อาห์เมดาบัดก่อน (ชื่อสนามบิน SARDAR VALLABH BHAI PATEL INTENATIONAL AIRPORT) ขาไปไฟลต์ดึกหน่อยบิน 3 ทุ่ม ติ๊ดบัตรเลิกงานปุ๊ปก็เตรียมออกบินได้เลย การบินไทยแจกทั้งหมอน-ผ้าห่ม เสิร์ฟอาหารปุ๊ปปั๊บ นั่งดูหนังต่อชิลๆ 4.40 ชม. ก็ถึงละ
ส่วนขากลับ ยังคงรักการบินไทยเหมือนกับที่การบินไทยรักคุณเท่าฟ้า เรากลับจาก Mumbai ไฟลต์ดึกเช่นเดิมค่ะ TG 318 เวลา 23.35-5.35(+1) จะได้เที่ยวแบบเต็มๆ 4 วัน 4 คืนไปเลย

อาห์เมดาบัด (AHMEDABAD)
Ahmedabad Heritage Walk
เนื่องจากเมืองอาห์เมดาบัดเนี่ย ได้เป็นเมืองมรดกโลก World Heritage City เพราะฉะนั้นไฮไลต์ของเค้าคือ การได้สำรวจเมืองเก่า ตรอกแคบๆ บ้านไม้เก่า ลานกลางบ้าน บ่อน้ำชุมชน เจอทั้งวัด ทั้งมัสยิด ทั้งทางลับ โผล่มาเจอตลาดอีกทีเฉย แต่ละซอยมันดูมีอะไรอะ มาค่ะ จะพาไปเดินดูด้วยกัน

POL
รูปแบบเมืองเก่าดั้งเดิมนี้ มักจะสร้างบ้านอยู่กันเป็นชุมชนแบบกระชับ พ่อแม่พี่น้องเครือญาติอาศัยอยู่ในระแวกเดียวกัน แต่ละชุมชนจะมีการแบ่งพื้นที่ตรงกลางไว้ใช้ร่วมกัน บ้างมีศาลเจ้าหรือสร้างวัดเล็กๆอยู่ข้างใน ซึ่งเค้าจะเรียกพื้นที่นี้ว่า “โพล (Pol)” มีระบบประตูปิดเพื่อป้องกันภัยมาตั้งแต่สมัยก่อน พอหลายโพลมาอยู่ติดกัน เชื่อมต่อด้วยทางเดินแคบๆ คดไปคดมา หลงทางได้ง่ายๆเลย

โครงสร้างของโพลเหล่านี้ พร้อมสถาปัตยกรรมไม้เก่าแก่ วัฒนธรรมที่หลากหลาย และผังเมืองแบบเดิมที่ยังคงใช้ชีวิตจริงอยู่ทุกวัน คือหัวใจสำคัญที่ทำให้อาห์เมดาบัดได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นเมืองมรดกโลก เพราะที่นี่ไม่ได้เป็นเพียงเมืองเก่า แต่เป็นเมืองที่ยังคงหายใจและดำเนินชีวิตอย่างมีเอกลักษณ์มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันค่ะ


Pol Kholi
มา จะพาเข้าไปดู “โพล” หนึ่งในเมืองเก่า ที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาดู เข้ามาชม มาพักผ่อนได้ ด้วยการทำเป็น คาเฟ่ ร้านอาหาร และโฮมสเตย์ โดยที่คงเก็บความงามของสถาปัตยกรรมดั้งเดิมในโพลนี้ไว้
อาคารที่เค้าเอามารีโนเวทเป็นตึก 4 ชั้น ดีเทลประตูหน้าต่างบ้านกระทุ้งอยู่ครบแค่ทาสีใหม่ ช่องลมและช่องหน้าต่างมีลายเรขาคณิตและลายดอกไม้แบบอินเดีย–เปอร์เซีย ด้านหน้าเปิดเป็นที่พักแบบ Haveli และห้องอาหาร ส่วนด้านหลังเดินเข้าซอยไปหน่อยเค้าทำเป็นคาเฟ่


Pol Kholi The Old City Cafe
มุมพักใจเล็ก ๆ ในสวนหลังบ้านกลางย่านเมืองเก่าอาห์เมดาบัด คาเฟ่บรรยากาศชิลสุด ๆ เหมือนแวะมานั่งเล่นบ้านเพื่อนหลังเดินสำรวจโพลจนขาอ่อน เมนูมีทั้งน้ำผลไม้สด ชา กาแฟ ขนมท้องถิ่น และไอศกรีมเย็น ๆ ให้เติมพลัง บรรยากาศเรียบง่ายแต่เต็มไปด้วยเสน่ห์ความ local นั่งฟังเสียงผู้คนในชุมชน ลมพัดผ่านร่มไม้ แล้วจิบอะไรเย็น ๆ คือโมเมนต์พักเท้าที่ทำให้รู้สึกได้ใกล้ชิดเมืองนี้มากขึ้นแบบไม่ต้องพยายามเลย


Manek Chowk Market
เดินไปเดินมาก็ไปโผล่ที่ประตูเมือง ซึ่งเเป็นตลาดชื่อ Manek Chowk Market ที่เปิดตั้งแต่เช้ายันมืด ตอนเช้าเป็นตลาดผักเครื่องเทศต่างๆ ส่วนกลางวันขายทอง พรม เฟอร์นิเจอร์ ของใช้ทั่วไป และกลางคืนกลายเป็นตลาดสตรีทฟู้ดหลากหลายมากที่ใครๆก็แนะนำให้มาลอง


ตรงโซนนี้เราจะได้กลิ่นอายความอินเดียสุดๆ ไม่ว่าจะเป็นเสียงแตรรถ ผู้คนขวักไขว่ พ่อค้าตะโกนเรียกแขก เด็กสะกิดขอเงิน และกลิ่นเครื่องเทศ บอกเลยว่าบันเทิง

Jama Masjid
ไปต่อกันที่มัสยิดเก่าแก่ใกล้ชุมชนเมืองเก่า สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1424 โดยสุลต่านอาห์เหม็ด ชาห์ที่ 1 ซึ่งผู้ก่อตั้งเมืองอาห์เมดาบัดนี่เอง เลยถือเป็นมัสยิดที่ใหญ่ที่สุดในคาบสมุทรอินเดียในขณะนั้น และเป็นมัสยิดที่สำคัญและงดงามที่สุดแห่งหนึ่งในอาห์เมดาบัด

Jama Masjid ก่อสร้างด้วยหินทรายเหลืองทอง โดดเด่นมากเพราะผสมผสานความงามแบบอิสลามเข้ากับงานแกะสลักหินศิลปะท้องถิ่นของคุชราต ภายในมี เสามากกว่า 260 ต้น เรียงตัวอย่างประณีต รองรับหลังคาแบบซ้อนชั้นที่ดูโปร่ง สวยงามเหมือนป่าเสาหิน


เมื่อเดินผ่านประตูทางเข้าไป จะเจอลานกว้างๆที่มีกำแพงอาคารล้อมรอบ และมีสระน้ำอยู่ตรงกลาง สำหรับชำระล้างร่างกายก่อนเข้าไปทำพิธีละหมาด
และช่วงที่มีพิธีละหมาด จะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้าข้างในค่ะ เราเลยถ่ายมาให้ดูได้ไม่ทั่ว

Sidi Saiyyed Mosque
มาต่อกันที่ มัสยิด Sidi Saiyyed ที่นี่โดดเด่นเพราะ ลวดลายฉลุหินที่ช่องแสงเหนือหน้าต่างมัสยิด ที่มีชื่อว่า ลายจาลี หรือลาย Tree of Life แม้จะเป็นมัสยิดขนาดไม่ใหญ่โต แต่กลับตราตรึงใจด้วยรายละเอียดที่ประณีตมาก จนกลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมืองนี้ไปแล้ว
ภายในมัสยิดจะไม่อนุญาตให้ผู้หญิงก้าวเข้าไปข้างในนะคะ ถ่ายจากข้างนอกได้


Tree Of Life
ความหมายของ Tree Of Life ต้นไม้แห่งชีวิตเป็นสัญลักษณ์สำคัญในหลายวัฒนธรรมทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นศาสนาอิสลาม ฮินดู รวมถึงศาสนาพุทธเองก็มีการใช้สัญลักษณ์นี้เช่นกัน และแปลความหมายต่างกันออกไป แต่โดยส่วนใหญ่คือสัญลักษณ์ของชีวิต การเติบโต และการเชื่อมโยงของทุกสิ่งในโลก เหมือนบอกว่าเราต่างมีรากเดียวกัน แต่เติบโตแตกกิ่งก้านไปในแบบของตัวเอง
และลายนี้ก็ถูกนำมาเป็นสัญลักษณ์ของเมืองอาห์เมดาบัดด้วย

Dada Harir vav (Bai Harir Stepwell)
ที่นี่คือ บ่อน้ำโบราณแบบ Stepwell (หรือที่เรียกว่า Vav) อายุเกือบ 600 ปีที่ซ่อนอยู่ในย่านเมืองเก่าอาห์เมดาบัด ฟีลแบบถ้าไม่เดินเข้ามาคือไม่รู้จริง ๆ ว่ามีอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนี้อยู่ใต้ดิน!

คนอินเดียสมัยก่อนเค้าเก่งมากนะ คิดระบบกักเก็บน้ำใต้ดินไว้ใช้ได้ทุกฤดูกาล เป็นนวัตกรรมโบราณที่ยังมีประโยชน์อยู่จนถึงปัจจุบัน แล้วของแบบนี้ไม่ได้มีให้เห็นทั่วอินเดียนะ ส่วนใหญ่พบเห็นได้ในรัฐคุชราชและรัฐราชาสถาน แต่ละที่มีความเอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกันด้วย มาที่นี่แล้วเลยต้องขอมาดูของดีประจำเมืองซักหน่อย

เดินลงบันไดไปสู่ใต้ดินลึกหลายชั้นที่ทั้งตะลึงและน่าทึ่งตั้งแต่ก้าวแรก โครงสร้างทั้งหมดทำจากหินทราย สลักรายละเอียดแบบผสมผสานทั้งศิลปะฮินดูและอิสลาม จนรู้สึกเหมือนเดินลงไปในวังใต้ดินมากกว่าแค่บ่อน้ำอะ อลังการเกิ๊น

แล้วที่ชอบมากคือ ที่นี่ไม่ได้เป็นแค่ที่เก็บน้ำอย่างเดียว แต่เมื่อก่อนเป็นเหมือน โอเอซิสกลางเมือง เพราะข้างล่างจะเย็นสบายจากไอน้ำและร่มเงาของสถาปัตยกรรม คนเมืองสมัยก่อนเลยชอบมานั่งพัก ผ่อนคลาย คุยกัน ฟิลแบบคาเฟ่โบราณฉบับอินเดียอะ วันที่เราไปก็ยังมีวัยรุ่นท้องถิ่นและเด็กๆมานั่งเล่นกันเยอะเลย

ไม่ใช่แค่สถานที่นั่งเล่นของคน แต่เป็นของลิงด้วย!!! เพิ่งเคยเห็นลิงอินเดียครั้งแรกก็วันนี้แหละ น่ารักกก

French Haveli
ได้เวลาเข้าที่พักกันแล้ว คืนนี้เราจะนอนที่ French Haveli ที่รีโนเวทจากฮาเวลีอายุหลายร้อยปี ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง แต่ยังคงเสน่ห์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้แบบจัดเต็ม ภายในบ้าน 3 ชั้นนี้ มีลานกลางบ้าน ที่เปิดโล่งตั้งแต่ชั้นบนสุด เพื่อให้แสงส่องถึง หน้าต่างบานเล็กๆ รอบด้านเปิดให้ลมเย็นโชยเข้ามา พัดพาความร้อนออกไป แล้วยังตกแต่งด้วยข้าวของเครื่องใช้โบราณ ทั้งหม้อ ไห ภาพถ่าย เก้าอี้หวาย และเด่นสุดคือชิงช้ากลางบ้านจากไม้แผ่นใหญ่ ต้อนรับเราตั้งแต่หน้าประตู

ที่พักแบบ Haveli ส่วนใหญ่จะเคยเป็นคฤหาสน์ผู้ดีเก่าหรือคนมีเงินในยุคก่อน แต่ที่ French Haveli เจ้าของเป็นศิลปินเก่า บ้านพักก็เลยออกมาน่ารักๆแบบนี้

ห้องเราอยู่ชั้น 3 บันไดค่อนข้างชันและแคบมาก ไม่เหมาะกับสว. แต่ความพิเศษของห้องนี้คือมีระเบียงส่วนตัวกว้างๆ มองออกไปเห็นวิวเมืองเก่าได้เลย ห้องน้ำก็ดี เตียงนุ่ม รักที่นี่มากก
*French Haveli ตั้งอยู่ในเขต Pol ต้องเดินจากถนนใหญ่เข้าไปในซอยแคบๆ ประมาณ 100-200ม. ถ้าเรียกรถ taxi หรือออโต้ผ่าน Uber รถจะไม่ได้เข้ามารับ-ส่งในนี้นะคะ


Gandhi Ashram
มาถึงอาห์เมดาบัด จะไม่พูดถึงคานธีก็คงไม่ได้ เพราะเมืองนี้เป็นหนึ่งในจุดสำคัญบนเส้นทางชีวิตของท่านมหาตมะ คานธี อาศรม Sabarmati Ashram ริมแม่น้ำซึ่งเคยเป็นสถานที่อยู่อาศัยและทำงานของคานธี เป็นจุดเริ่มต้นของประวัติศาสตร์อิสรภาพของอินเดีย
ทุกวันนี้ อาศรมแห่งนี้ยังคงสงบ เรียบง่าย และอบอวลไปด้วยเรื่องราวแรงบันดาลใจ ทำให้เข้าใจหัวใจของการต่อสู้แบบอหิงสาที่เปลี่ยนชะตาประเทศทั้งประเทศไปตลอดกาล



Sabarmati Riverfront
ก่อนจะบินไปมุมไบ มาสรุปเมืองอาห์เมดาบัดเท่าที่เราสัมผัสมาสักหน่อยเนอะ เมืองนี้แบ่งออกเป็นสองโซนหลัก คือ เมืองเก่า กับ เมืองใหม่ โดยมีแม่น้ำ Sabarmati คั่นกลาง ที่เราไปถ่ายรูปมารีวิวเป็นฝั่งเมืองเก่า จะเต็มไปด้วยตรอกซอกซอย บ้านเรือนโบราณ และวัฒนธรรมดั้งเดิม ส่วนเมืองใหม่ จริงๆที่นี่เจริญและทันสมัยมากก มีห้างใหญ่ โรงแรมหรู แกลอรีงานศิลปะ คอนเสิร์ตฮอลล์ และมหาวิทยาลัยชื่อดัง
แอบไปถามเพื่อนอินเดียในเมืองนี้มา ว่าเวลานัดเจอเพื่อนรอบดึก ถ้าไม่เข้าบาร์ คนที่นี่เค้าไปไหนกัน นางตอบก็จะมาเดินกันที่ริมแม่น้ำนี่แหละ เดี๋ยวนี้เค้าพัฒนาให้เป็นพื้นที่พักผ่อนดีๆแล้ว


มุมไบ (MUMBAI)
บินภายในประเทศ ต่อไปจากอาห์เมดาบัดไปที่มุมไบ 1 ชม. ก็ถึงแล้ว

BANDRA
จริงๆก็ตัดสินใจอยู่นานว่าจะพักย่านไหนของมุมไบดี ถ้าพักย่าน Coloba ก็จะใกล้แหล่งท่องเที่ยวเดินสะดวก แต่จะมีความวุ่นวายหน่อย , จะพักย่าน Central Mumbai ก็ดูครึ่งๆกลางๆ จะกินจะเที่ยวต้องนั่งรถออกไปทุกที่

Bloom Boutique | Bandra ब्लूम बुटीक | बांद्रा
สุดท้ายจบกันที่ย่าน Bandra อยู่ทางตอนเหนือของมุมไบ ใกล้สนามบิน แต่จะไกลจากแหล่งท่องเที่ยวสำคัญหน่อยนึง เค้าว่าเป็นย่านชิคๆ ร่มรื่น น่าอยู่ มีร้านอาหารหลากหลาย บาร์เท่ๆ คาเฟ่น่ารักเยอะ ในระยะเดินได้ ถ้าเปรียบกับกรุงเทพก็จะเหมือนย่านอารีย์อะ
Bloom Boutique | Bandra ब्लूम बुटीक | बांद्रा https://maps.app.goo.gl/npULfKYBMV4YcZvv9 To book the hotel : https://bit.ly/47PoG7w

Train in Mumbai
เริ่มวันใหม่ในมุมไบกันที่ รถไฟ เราจะไปลองนั่งรถไฟมุมไบแบบคลาสสิก สู่สถานีรถไฟที่เค้าว่าสวยที่สุดในโลก
โดยเราเริ่มออกเดินทางจากสถานนี Khar Road Station ลงที่ CSMT Station โดยซื้อตั๋วที่สถานีได้เลย ราคา 1st class 20รูปี และ 2nd class 10รูปี ใช้เวลาเดินทางประมาณ 45 นาที รถไฟมาตลอดแทบจะทุก 15 นาทีเลยมั้ง
บรรยากาศในสถานีรถไฟก็ไม่ได้แย่นะ ใหญ่โตและสะอาดพอสมควร พอมันมีหลาย Platform ความหนาแน่นมันก็น้อย ส่วนที่ยากคงเป็นแค่ไปให้ถูก Platform เพราะตั๋วไม่ได้ระบุว่าต้องขึ้นตรงไหน

จริงๆการเดินทางภายในมุมไบ ถือว่าสะดวกเลยแหละ มีทั้งรถไฟรางคลาสสิก รถไฟฟ้าMetro รถบัส เราสามารถเรียกรถ Uber เข้าเมืองเลยก็ได้ ในราคาไม่ถึง 200 บ.เท่านั้น แต่เนี้ยเป็นการลองเสพย์บรรยากาศ Local เผื่อจะเข้าถึงอินเดียขึ้นมาอีกนิดนึง เพราะชีวิตปกติมันง่ายเกินไป 555

Chhatrapati Shivaji Maharaj Terminus
ในที่สุดเราก็มาถึงสถานีรถไฟที่เค้าว่าสวยที่สุดในโลก ที่ยังถูกใช้งานจริงมานานกว่า 100 ปี และยังได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกจาก UNESCO อีกด้วย สถานีนี้มีชื่อ Chhatrapati Shivaji Maharaj Terminus ชื่อเต็มแอบเรียกยาก เพราะฉะนั้นเราจะเรียกเค้าว่า CSMT กันนะคะ

CSMT ถูกสร้างสมัยที่อินเดียเป็นอาณานิคมของอังกฤษ จะว่าไปที่นี่เหมือนปราสาทยุโรปที่ตั้งอยู่กลางอินเดียอะ จุดเด่นของที่นี่คือการผสมสถาปัตยกรรมโกธิกแบบอังกฤษเข้ากับลวดลายอินเดียได้อย่างลงตัว ทั้งหอคอย หน้าต่างโค้ง กระจกสี และงานแกะสลักละเอียดทุกมุม ประตูทางเข้าหลักมีเสาขนาดใหญ่สองต้น โดยมีรูปปั้นสิงโตและเสือประดับอยู่ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของอังกฤษและอินเดีย

ที่นี่เลยเป็นทั้งสถานีรถไฟและแลนด์มาร์กประวัติศาสตร์ที่บอกเล่าเสน่ห์ของมุมไบได้ดีที่สุดแห่งหนึ่งเลยค่ะ อยากบอกว่ามันกว้างใหญ่มากจริงๆ บริเวณรอบๆ ก็ยังมีอาคารสำคัญอีกมากมาย เดินได้ทั้งวัน


GATEWAY OF INDIA
โลเคชั่นสำคัญที่ ถ้าไม่มาที่นี่ก็เหมือนมาไม่ถึงอินเดีย คือ Gateway of India เป็นเหมือนประตูชัยต้อนรับการมาเยือนของนักท่องเที่ยวทุกคน ที่นี่เป็นซุ้มประตูหินทรายขนาดใหญ่ ริมทะเลย่านโคลาบา จุดเด่นคือการผสมผสานศิลปะหลายวัฒนธรรม ทั้งสไตล์ อินโด-ซาราเซนิก ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากสถาปัตยกรรมฮินดู มุสลิม และยุโรปเข้าด้วยกัน


THE TAJ MAHAL PALACE
ทัชมาฮาลพาเลซ คือโรงแรม 5 ดาวระดับตำนานของมุมไบ เปิดมาตั้งแต่ปี 1903 อยู่ข้างๆ ประตูสู่อินเดียเลยค่ะ ที่นี่ขึ้นชื่อเรื่องความหรูหรามาตั้งแต่สมัยก่อน เป็นโรงแรมแรกๆ ในอินเดียที่มีไฟฟ้า ลิฟต์ และบริการแบบยุโรป ผสมงานสถาปัตยกรรมสไตล์อินโด-ซาราเซนิก โดมใหญ่ ซุ้มโค้ง ลวดลายละเอียด สวยมากกก แถมมีเรื่องเล่าว่าเจ้าของสร้างโรงแรมนี้ขึ้นเพราะถูกปฏิเสธไม่ให้เข้าพักในโรงแรมของคนอังกฤษ เลยสร้างที่ที่หรูหรากว่าให้คนอินเดียได้พักด้วย ทุกวันนี้ก็ยังเป็นแลนด์มาร์กสำคัญและสัญลักษณ์ความภาคภูมิใจของมุมไบเลยแหละ


Mini Subko Coffee (Sandra)
ในมุมไบนี่มีแบรนด์โลคอลเท่ๆ เยอะมาก รวมถึงร้านกาแฟด้วย และ Subko คือหนึ่งในเชนสเปเชียลตี้คอฟฟี่ที่เราชอบมาก เค้าโฟกัสกาแฟคุณภาพจากเกษตรกรอินเดียเอง ทำทุกอย่างละเอียดทั้งกาแฟ ขนม และช็อกโกแลต
ที่เรามาคือสาขา Bandra แถวๆทีพัก SUBKO MINI ตั้งอยู่ใต้แกลเลอรี่ Art & Charlie แบบเป็นมุมลับๆ เข้าซอกเล็กๆ แล้วเจอร้านจิ๋วขนาดแค่ 71 ตารางฟุต แต่บรรยากาศน่ารักอบอุ่นมาก หอมกลิ่นขนมอบตั้งแต่ยังไม่ถึงประตู กาแฟดี ขนมอร่อย ฟีลเหมือนมาทานของโฮมเมดในสตูดิโอศิลปะเลยค่ะ เป็นจุดแวะพักที่ต้องมาถ้าชอบคาเฟ่เท่ๆ อบอุ่นๆ แบบอินเดียสมัยใหม่


CARTER ROAD
ปิดท้ายทริปก่อนบินกลับกันที่ทะเลอินเดีย แต่ดั๊นฝนตกทั้งวันเลย ทะเลที่เรามาเช็กอินเลยอาจจะอึมครึมหน่อยเนาะ ที่นี่คือถนนเรียบชายหาด ย่าน Bandra West มีทางเดินริมทะเลกับสวนเล็กๆ ถ้าวันไหนอากาศดีๆ ฟ้าโปร่งจะมองเห็นตึกสูงระฟ้าจากฝั่ง Mumbai Central เลยแหละ


CARTER ROAD SOCIAL
เข้ามาในคาเฟ่หลบฝนกันก่อนที่ Carter Road Social เป็นหนึ่งในสาขาของร้าน Social ที่มุมไบ ฟีลร้านคือคาเฟ่+โคเวิร์กสเปซกลางวัน และบาร์เท่ๆ ตอนกลางคืน เหมาะมากสำหรับสายครีเอทีฟ คนทำงานอิสระ หรือใครอยากมาชิลชมวิวทะเลอาหรับ ที่นี่ดีไซน์ให้เข้ากับ vibe ของบันดรา—คูล มีพลัง และมีกลิ่นอายศิลปะหน่อยๆ

แล้วทริปอินเดีย 4 วัน 4 คืน สองเมือง สองฟีล สองความประทับใจ! Ahmedabad โคตรวินเทจ Mumbai โคตรคูล ต้องลองมาดูเอง และตอนนี้การบินไทยเค้ามีบินตรงสู่อินเดียแล้ว 8 เมืองสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น New Delhi , Kolkata , Bengaluru , Chennai , Hyderabad และ Mumbai ให้เราได้ไปสัมผัสเสน่ห์เมืองแขกแบบอุ่นใจ เพราะมีสายการบินไทยอยู่ข้างเรา แค่เห็นอาหารไทยบนเครื่องก็เหมือนกลับถึงบ้านไปแล้ว 50%

บินตรงสู่มุมไบกับการบินไทย ด้วยบริการแบบ Full Service สะดวกสบาย ไม่ต้องกังวลเรื่องอาหาร ที่นั่งและน้ำหนักกระเป๋า บินสบายในราคาไป/กลับ เริ่มต้นเพียง 12,010* บาท จองเลยที่ https://rb.gy/okxui


