พาเดินเที่ยวเมืองเก่าริมน้ำ “มะละกา” มรดกโลกแห่งมาเลเซีย | MELAKA-MALAYSIA

ภาพเมืองเก่าสีสันสดใส พร้อมกับบาร์นั่งชิลเรียงรายริมลำคลอง ทำให้เราตัดใจมาเมืองนี้ไม่ยากเลย ที่นี่ เมืองมะละกา ประเทศมาเลเซีย  ประเทศที่เจริญพอๆกับไทย เดินทางง่าย มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเอง

เราจะไปพาเดินชมเมือง
ไปกินอาหารท้องถิ่น 
ไปจิบกาแฟชิลๆ
และ ไปถ่ายรูปเล่น 

ปะ ไปดูกัน

การเดินทางไปมะละกา

เราออกเดินทางจากกรุงเทพ บินไปลงสนามบิน กัวลาลัมเปอร์ก่อน แล้อต่อรถไฟไป Banda kasik station  ซึ่งเป็น Bus Station ใหญ่ของกัวลาลัมเปอร์  ซื้อตั๋วบัสต่อ ไปลงที่ Malacca Sentral ได้เลย มีรถออกตลอด ใช้เวลาอีกประมาณ 2 ชม.ครึ่ง พอถึงแล้ว ต่อ Grab Taxi เข้าที่พักอีก 15 นาที ต่อรถเยอะหน่อย แต่เชื่อดิ มันไม่ยากเลย  ง่ายกว่าเดินทางรถสาธารณะที่ไทยอีก

MELAKA CITY

เมืองมะละกา ภาษาอังกฤษบางคนเขียน Melaka บางคนเขียน Malacca ซึ่ง Melaka จะเป็นภาษามาเล และ Malacca เป็นชื่อที่อังกฤษเรียก และแปลว่าต้นมะขามป้อม (ต้นไม้ประจำเมือง) เพื่อป้องกันความสับสน ทางมาเลเซียจึงกำหนดให้ใช้ Melaka แบบ Official ตั้งแต่ 2008 เป็นต้นมา

ที่นี่ เคยเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่งในประวัติศาสตร์มาเลเซีย อย่างที่เราเคยได้ยินคำว่า ช่องแแคบมะละกาบ่อยๆ เป็นทางผ่านของเรือส่งสินค้าทางทะเล ระหว่างชาติตะวันตกและตะวันออกมาช้านาน  เราเลยจะได้เห็นการผสมผสานทางวัตฒนธรรมของจีน อินเดีย มาเลย์ และยุโรป ผ่านตึกและอาคาร รวมถึงผู้คนหลากหลายเชื้อชาติในสถานที่แห่งนี้ จนได้รับการจดทะเบียนขึ้นเป็นเมืองมรดกโลก UNESCO (พร้อมๆกับเมืองปีนังในประเทศมาเลเซียเหมือนกัน)

ตึกทรงโคโลเนียลสีแดงๆ ที่เห็นนี่คือ DUTCH SQUARE ถือเป็นแลนด์มาร์คของเมืองมะละกาเลย

JONKER STREET

Jonker Street เป็นถนนเส้นหลักของย่านเมืองเก่ามะละกา มีการตกแต่งสไตล์จีน ที่พักโฮมสเตย์ ร้านอาหาร คาเฟ่ ร้านค้า ร้านของฝากเยอะ และจะเยอะขึ้นไปอีกในวันเสาร์-อาทิตย์ ถนนเส้นนี้จะถูกปิดเป็นถนนคนเดิน

JONKERED HERITAGE HOTEL

เราเลือกโรงแรมที่ใจกลางแลนด์มาร์คของมะละกา ก็คือโรงแรม JONKERED HERITAGE HOTEL อยู่ในโซนตึกแดง Dutch Square โลเคชั่นดี เดินไปไหนมาไหนสะดวก ติดโรงแรมมี 7-11 แต่วันเสาร์-อาทิตย์ตอน 5 โมงเย็น จะปิดไม่ให้รถยนต์เข้า เพราะจะมีคนเดินไปถนนคนเดินเยอะ และเราจะได้ถ่ายรูปซอยอาคารสีแดงแบบไม่ต้องระวังรถค่ะ แต่ถ้าต้องนั่ง Taxi ออกไปไหน อาจจะต้องเดินออกไปขึ้นปากซอย ประมาณ 100ม. นะ

CANAL BAR STREET

ส่วนที่เราชอบสุดของเมืองนี้คือ เค้ามีบาร์เรียงรายริมลำคลอง ที่ดูชิลมากๆ  ภาพนี้เป็นภาพที่ทำให้เราอยากมาเลย ยิ่งช่วงเวลาพระอาทิตย์ใกล้จะตกดิน ยิ่งดี ไฟประดับตามบ้านริมน้ำต่างค่อยๆส่องสว่างแแทนที่แสงท้องฟ้า ใครที่ชอบบรรยากาศริมน้ำต้องชอบที่นี่แน่ๆ เช่นเราเอง นั่งได้ทั้งวันอะ

ตอนกลางคืนครึกครื้น ส่วนตอนเช้าสงบเงียบ เสียงนกเสียงกาดังขึ้นแทนที่เสียงเพลง ต่างกันลิบลับเลย

TIPSY BRIDGE

เดินเลียบคลอมาเรื่อยๆ จะเจอ Tipsy Bridge เป็นแหล่งรวมบาร์นั่งชิลทั้งซอยเลย เราถามเจ้าของร้านแถวนั้นมา เค้าบอกคนที่นี่เที่ยวกันดึกนะ ตอนเย็นมากันเซตนึง ตอน 4 ทุ่ม่จะมาอีกเซตนึง และจะอยู่ยาวไปถึงตี 3-4 เลย 5555 นี่เล่าให้ฟังเฉยๆ เราไม่ได้อยู่นานขนาดนั้นหรอก แต่ถ้ามากับเพื่อนหลายๆคน คงสนุกมากแน่ๆ

MELAKA STREET ART

สังเกตได้ว่า ที่นี่จะมีสตรีทอาร์ทอยู่เต็มไปหมด เป็นจุดถ่ายรูปให้นักท่องเที่ยวได้เช็คอิน และยังสื่อถึงความความหมายที่เกี่ยวพันธ์กับเมืองมะละกาด้วย พอมันมาอยู่กับอาคารทรงชิโนโปรตุกีสแบบนี้แล้ว เท่ดี

THE DAILY FIX CAFE

วันที่ 2 ของมะละกา ขอเปิดมาด้วยอาหารเช้าแบบฝรั่ง ที่ร้าน THE DAILY FIX CAFE บนถนน Jonker Street ถนนหลักในย่านเมืองเก่ามะละกา เป็นอาคารสไตล์ชิโนโปรตุกีส ที่จะมีหน้าร้านแคบแต่ลึก มี 2 ชั้น ด้านหน้าเป็นร้านขายของฝาก ส่วนด้านหลังเป็นโซนร้านอาหาร มีคอร์ทตรงกลางอาคารเพื่อให้แสงเข้าถึง อยากบอกว่ากาแฟ Salted Gula Malaka ที่เป็นเมนู Signature ของร้านนี้ กลมกล่อมและอร่อยมากๆ อยากให้ได้ลองจริงๆ

Gravy Baby

แวะคาเฟ่ริมน้ำอีกสักหนึ่งที่ ร้าน Gravy Baby ร้านนี้มีระเบียงชิล 2 ชั้น ขายทั้งเครื่องดื่ม ขนมหวาน และอาหาร นี่สั่งหอยนางรมมาลองชิม นึกว่ามาจากทะเลแถวนี้ แต่ป่าวจ้า อิมพอร์ทมาจากออสเตรเลีย 555 แพงเอาเรื่องอยุ่

FORT st.PAUL

โลเคชั่นถัดไป เราจะไปดูวิวมะละกามุมสูงกันที่ St. Paul’s Hill  เดินเท้าจาก Jonker Street ไปไม่ไกล เป็นโบสถ์คริสต์อังกฤษ ที่สร้างอยู่บนเนินเขาสูง ในย่านเมืองเก่ามะละกา มีอายุกว่า 500 ปีแล้ว แต่เสียหายจากสงคราม จนตอนนี้เหลือแค่ฐานโบสถ์เท่านั้น ขึ้นมาบนนี้สามารถมองเห็นเมืองมะละกามุมสูงและมองเห็นวิวทะเลที่มีเรือขนส่งสินค้ายู่ลิบๆได้ด้วย

THE FLOATING MOSQUE (Masjid Selat Melaka)

ไปโบสถ์คริสละ ต่อด้วยมัสยิดค่ะ นั่ง Taxi ไปไม่ถึง 10 นาที ข้ามไปเกาะ ที่นี่ชื่อมัสยิดเซลัตมะละกา (Masjid Selat Melaka) หรือเราเรียกเองว่ามัสยิดลอยทะเล เพราะเค้าตั้งอยู่บนหาดแและยื้นเข้าไปในทะเล มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่ผสมผสานระหว่างสไตล์อิสลามและสไตล์มาเลย์ ซึ่งนับเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนาและสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญแห่งหนึ่งของมะละกา

เนื่องจากเป็นสถานที่สำคัญทางศาสนาอิสลาม ผู้หญิงทุกคนจำเป็นต้องใส่ Hijab คลุมผมด้วยนะคะ ไม่มีค่าเข้า แต่มีค่าเช่าชุด 5 ริงกิต 

JONKER STREET NIGHT MARKET

ในทุกๆวันเสาร์อาทิตย์ ถนน Jonker Street จะจัดตลาด Night Market ขายอาหาร ขนม สินค้าท้องถิ่นเรียงรายอยู่เต็มถนนเส้นนี้ ครึกครื้นกันมากๆ เดินกินกันเพลินเลย มีอาหารทะเลด้วย ทั้งกุ้ง หอย หมึก ปลา เราเลยลองสั่งมาชิมดู เป็นหอยเชลย่างเนยกระเทียม และหอยแครงผัดซอส มีโต๊ะเก้าอี้เตี้ยๆให้นั่งยองกิน รสชาติไม่แย่ แต่ก็ไม่ได้ชอบนะ ถือว่าได้มาลองแล้ว

CHINESE BREAKFAST

ขอจบทริปมะละกานี้ด้วยอาหารเช้าสุดโลคอล ที่ร้าน Kopitiam De Xing Lung เป็นร้านกาแฟและอาหารเช้าของชาวท้องถิ่นที่นี่ คล้ายๆกับโกปิเตี๊ยมของไทยเลย เพราะได้รับวัฒนธรรมจากจีนมาเลย์มาคล้ายๆกัน ก็จะมีชา กาแฟ ขนมปัง ส่วนอาหารเช้า มีหมี่ฮกเกี๊ยนกับซุปเกี๊ยวหมู มีครัวหน้าร้านนั่งดูแม่ครัวทำอาหารไปด้วย กินไปด้วย ได้ฟิลสุดๆ

เราว่ามะละกาเป็นเมืองหลากหลายวัฒนธรรมในที่เดียว เราเห็นทั้งวัดจีน วัดอินเดีย วัดไทยที่ไม่ได้ไป มีโบสถ์คริสต์ มีมัสยิดอิสลาม สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันอย่างลงตัว เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์และได้รับการอนุรักษณ์ไว้เป็นอย่างดี จนได้ขึ้นเป็นเมืองมรดกโลกจาก UNESCO พร้อมๆกับเมืองปีนัง ประเทศมาเลเซียเหมือนกันค่ะ

แล้วถ้าใครกำลังมองหากล้องดีๆ สำหรับเก็บภาพการเดินทาง กับ Lens เบาๆซักตัว ที่เอาไว้เดินไปถ่ายไปได้สะดวก ได้ภาพคมชัด และมีความชัดลึกชัดตื้นกำลังพอดี Lens RF 28mm F2.8ตัวนี้ ก็ถือว่าตอบโจทย์ เป็นเลนส์ระยะเดียว ซูมไม่ได้ ก็เลยสามารถทำให้เลนส์มีขนาดเล็กและน้ำหนักเบาได้ขนาดนี้ค่ะ

วันนี้ไปละ
แล้วเจอกันใหม่ทริปหน้าเด้อ บ๊ายบาย

ต้นอ้อ high on dreams :}

Hello

TEST 1

FOLLOW ME

More Stories
รีวิว อนันตราหัวหิน รีสอร์ทติดทะเลหรูสไตล์ไทยใกล้ชิดธรรมชาติ | ANANTARA HUAHIN