ก้าวแรกหลวงพระบาง
นั่งรถมาจากหนองเขียว ตรงมายังหลวงพระบางแบบเกร็งๆ
เพราะตรงที่วางเท้ามีไก่รองอยู่ เมื่อยขาไป 5 ชั่วโมงค่ะ
พอถึงหลวงพระบางปุ๊ป เรารีบเช็คเลย ว่าไก่ในกระสอบบนพื้นรถนั้น
มันตายรึยัง?
เพราหลังจากที่มันนิ่งๆไปเราก็หวั่นๆอยู่เหมือนกัน
เลยไม่กล้าเหยียบแรง แต่ได้ยินเสียงมันร้องกุ๊กๆอยู่ คงยังไม่ตายหรอก
พอกระสอบไก่ถูกยกออกไป
ขอดูไก่ในกระสอบคุณแม่ ไก่สองตัวอยู่ในชะลอมไม้ไผ่อีกที
มันยังไม่ตาย โล่งอกไปเปาะนึงแหละ
ที่นิ่มๆคือขาไก่โผล่ออกมา
แต่ก็แอบรู้สึกทำบาปแบบไม่รู้ตัว ที่เหยียบมัน(เบาๆ)ตลอดทาง
T_T
ถ้างงๆ อยู่ดีๆมาถึงหลวงพระบางได้ไง
กลับไปอ่านตอน 1 ก่อนนะ
https://www.highondreams.com/travel/enroutetolaos01/
มาถึงภารกิจเข้าเมืองหาที่พักหลวงพระบางกัน
ตามสเตปเดิม เราหาเพื่อนมาหารค่าตุ๊กตุ๊กจาก บขส. เข้าเมือง
เป็นแก๊งฝรั่งที่ร่วมรถมาด้วยกัน 4 คน
และทุกคนยังไม่มีที่พัก
ไม่มีใครทำการบ้านกันมาก่อนเลย
เราก็เช่นกัน
ตุ๊กตุ๊กปล่อยพวกเราลงกลางเมือง
ที่ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าอยู่ส่วนไหนของหลวงพระบางหรอก
แล้วอยู่ดีๆก็มีหนุ่มลาว พุ่งเข้ามาขายตรงกับพวกเรา
เสนอที่พัก+ฟรีรถรับส่ง ในราคาที่แปะไว้ในโบชัวคือคนละ 30000 กีบ
พวกนี้ก็ตกลงง่ายซะเหลือเกิน
เราก็เออ ออ นั่งรถตู้งงๆไปกับเค้าด้วย
พอถึงที่พัก ที่นี่เป็นบ้านไม้เก่าๆ อยู่ในหลืบลึกๆ
มันไม่ได้เก่าแบบตึกสไตล์ชิโนสวยงามตามแบบตึกอื่นๆในหลวงพระบางนะ
มันเก่าแบบโทรมๆ ถูกสร้างแบบง่อยๆก่อผนัง มุงหลังคา
คิดว่าถ้าอยู่ที่นี่อาจจะเจออะไรแบบเมืองงอยก็เป็นได้
จากประสบการณ์นั้นทำให้เราไม่อยากอยู่ห้องเดี่ยวเท่าไหร่
อีกอย่าง
ราคา 30000 ที่แปะไว้อะ เป็นราคาห้อง private 1 ห้องแล้วหาร 2 มาแล้ว
เพราะฉะนั้น ถ้าเราไปคนเดียวอะ ก็ต้องจ่าย 60000
แล้วฝรั่งที่มาด้วยกัน พวกนางก็จับเข้าคู่กันเรียบร้อยแล้ว
เราเป็นส่วนเกินในทันใด
Backpacker ไม่ได้เฟรนลี่ทุกคนค่ะ
เราเดินออกมาจากที่พักคนเดียว เพื่อหาโฮสเทลอยุ่แทน
พี่รีเซฟชั่นตะโกนตามหลังมา บอกว่า
“อะอะ ลดราคาให้เหลือ 40000 อะ”
คือ
ปัญหาเรา มันไม่ใช่เรื่องราคาแล้วค่ะ ณ จุดนี้
เราไม่มีอินเตอร์เนต
ปกติจะเซิดหาข้อมูลที่พักก่อนย้ายเมือง แต่เมื่อวานดันลืม
ก็เลยไม่รู้ว่าโฮสเทลมันอยู่ตรงไหน เดินวนๆหาจนทั่ว
เหนื่อยมาก บวกกับเมื่อคืนนอนน้อยด้วย
เลยไปจบที่ร้านนวด – -“
เพื่อใช้เนท และได้พักเท้าหลังจากเดินมาจนทั่วเมือง
ถึงเราจะมาแบบ backpacker
แต่เราก็มีความสะดีดสะดิ้งรักสบายอยู่ไม่น้อย 555
นวด 1 ชั่วโมง โดนไป 60000 กีบ
ไม่รู้จะขำตัวเองดีมั้ยที่ เสือกเข้าร้านสปาแบบหรู เพื่อใช้เนท
ราคาแพงกว่าที่พักที่เดินหนีออกมาอีก
แล้วยังไปบ่นว่าที่พักเค้าแพง
เออ
หลังจากเราได้แผนที่เมืองและพิกัดโฮสเทลแล้ว ก็เดินจั้มไปเลย
ปรากฎว่ามันอยู่ตรงที่ตุ๊กๆ จอดส่งเราครั้งแรกนี่เองค่ะ
นี่คือ ผลของความไม่หาข้อมูลมาก่อน
เพิ่งมารุ้สึกเสียเวลาก็ตอนเหนื่อยมากๆ นี่แหละ
ความรู้สึกสนุกเริ่มน้อยลงแล้วหรอเนี่ยยย
อย่าเพิ่งหมดเลยนะ
ที่พักของเราชื่อ LPQ backpacker Hostel
ห้องพัก 40000 กีบ พร้อมอาหารเช้า
ไม่ได้ดีไปกว่าที่ก่อนเท่าไหร่ แต่อย่างน้อยก็เป้นห้องรวมแหละวะ
ปกติแล้วเราจะพูดไทยกับคนลาวตลอดทั้งทริป เพราะเรารู้ว่าคนลาวฟังรู้เรื่อง
แต่ ณ ที่นี้ เราใช้ภาษาไทยไม่ได้เลย เพราะพี่รีเซฟชั่น นางเป็นคนเวียดนาม – -“
คืนนั้นเราหลับไปอย่างรวดเร็ว
หลังจากไม่ได้นอนทั้งคืน
และเดินทางเหนื่อยมาทั้งวัน
023
อาหารเช้า
เราตื่นเช้ามาพร้อมเพื่อนร่วมห้อง อีก 3 คน
แล้วออกไปทานอาหารเช้าที่ล๊อบบี้ของโฮสเทลด้วยกัน
ได้ที
เราเลยเกริ่นถามดูแพลนวันนี้ว่าจะไปไหน
เผื่อจะติดสอยห้อยตามไปด้วย
วันนี้เราพร้อมเที่ยวมาก ชาร์จแบทเต็มที่ละ
“ยูๆ ไปน้ำตกกวางสีมารึยัง?”
“ยังเลย พวกเราว่าจะไปกันวันนี้แหละ”
เราเริ่มรู้สึกว่าการคุยกับคนแปลกหน้าไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป
คือจะว่าเสือกก็ได้แหละ แต่พอเรามาคนเดียวแล้ว
การเสือกมันจะไม่ผิด
มันรู้สึกเหมือนจะทำอะไรก้ได้
อยากรู้อะไร อยากทำอะไร ก็ถามไปเลย บอกไปเลย
มามัวกั๊กๆ เก๊กๆ อยู่ มันจะไม่ได้การ
“งั้นเราขอไปด้วยคนนะ”
“แน่นอน ไม่มีปัญหา”
เออ
มันก็ง่ายอย่างนี้แหละ
(ยิ้มให้กับชัยชนะของตัวเอง 5555
เลเวลอัพแล้วหวะ)
……
ด้วยความที่ไม่ได้เล่นน้ำตก
พวกเราจึงเดินขึ้นไปบนจุดชมวิวชั้นบนสุดของน้ำตกแทน
กับทางเดิน treking สั้นๆแต่ชันมากกกกก ก็ปีนป่ายเปรอะกันไป
มีคนไม่ไหว ก็อยู่รอข้างล่าง แต่เราเป็นสายถึกไง
ถอดรองเท้าห้อยไว้กับข้อมือ แล้วก็ลุยโลด
ถามว่าขึ้นมาทำไม
เราไม่ได้คาดหวังว่ามันจะมีอะไรอยู๋แล้ว
ซึ่งมันก็ไม่มีอะไรจริงๆ
เราขึ้นมาเพราะไม่มีอะไรทำข้างล่าง
น้ำก็เล่นไม่ได้แล้วไง อย่างน้อยขอมีกิจกรรมเล็กๆน้อยๆแทน
ไหนๆก็มาแล้ว
น้ำข้างบนก็ยังเอ่อท่วมเหมือนเดิมค่ะ
แอบมีเรือไม้ไผ่สำหรับข้ามฝั่งด้วยนะ
เราก็อยากขึ้น น่าจะสนุกดี
แต่พอต้องเสียตัง 5 ดอลกับค่าข้ามฝั่งไม่ถึง 10 เมตรก็ทำใจจ่ายลำบาก
มันเดินเอาก้ได้ แต่ต้องลุยต้านแรงน้ำตกหน่อยนึง และต้องเปียก
ซึ่งอิคุณเพื่อนทั้งหลาย แห่มาฝากของกับเรา ทั้งโทรศัพท์ กระเป๋าตัง
เพราะเรามีกระเป๋ากันน้ำ – -“
ค่ะพวกเมิง
ไม่เห็นใจ หญิงไทยใจงามตัวเล็กๆ
ที่ต้องแบกกระเป๋าสัมภาระของทุกคน ต้านแรงน้ำเชี่ยวกว่าเอวข้ามฝั่งไป
ถ้ามือหลุดจากราวไม้ไผ่เมื่อไหร่ คือฉันจะไหลตกน้ำตกไปเลยค่ะ
รักกันมาก
เหนือสุดของน้ำตก
วิวเป็นแบบนี้ค่ะ
ไม่ได้คาดหวังอะไรอยู่แล้ว
เหมือนขึ้นมาฝ่าภารกิจข้ามแม่น้ำ สนุกๆ
ขึ้นมาจากฝั่งนึง และลงอีกฝั่งนึง
เราว่าถ้าไม่ใช่ฤดูน้ำป่าไหลหลากขนาดนี้
มันต้องสวยมากแน่ๆ
คิดว่าต้องมาอีกรอบ
ครั้งหน้าขอน้ำสีฟ้าๆ ละตกเบาๆนะลูก
ลงมาข้างล่าง ยังพอมีแอ่งให้ลงไปเล่นได้อยู่
เออ
ซักหน่อยหนะ เนอะ
บริเวณน้ำตก
ยังมีสิ่งที่น่าสนใจอีกคือ ศูนย์อนุรักษ์หมี ที่อยุ่ภายในอุทยานน้ำตกกวางสีนี่แหละ
ก็ยังดีอะ ดูหมีนอนเล่นเพลินๆ
เห็นหมีมั้ย
025
พวกเรากลับมาโฮสเทลด้วยความหิว
ก็เลยออกไปเดินเล่นหาอะไรกินกัน
เจอร้านหมูกะทะริมน้ำร้านนึง ชุดละ 60000 กีบ
เห้ยย
อยากมากกกกกก น้ำลายฉีด
บวกกับภาพหมูกะทะที่แม่ส่งไลน์มายั่วเมื่อวันก่อน
ก็เลยชวนเพื่อนกิน
แต่ ความประชาธิปไตย ทำให้ฉันอดแด๊กค่ะ
หมูกะทะริมโขง ไม่ได้รับเลือกให้เป็นผู้ดูแลกะเพาะพวกเราในมื้อนี้
พวกนางให้เหตุผลว่า มันแพง – -“
T_T
คือถ้าหมูกะทะ เป็นอาหารที่สามารถกินคนเดียวได้
เราคงจัดไปละ (แต่เลเวลยังไม่ถึงขั้นนั้น)
ต้องใช้ความกล้าแค่ไหน ในการชวนคนแปลกหน้าไปกินหมูกะทะด้วยกัน
และต้องใช้ความกล้าอีกแค่ไหน ในการเข้าไปกินหมูกะทะคนเดียว
แล้วเราก็ย้ายไปกินในถนนคนเดินแทน
เป็นบุฟเฟ่ข้าวราดแกง ตักเท่าไหร่ก็ได้ให้อยู่ในชามเดียว
ในราคา 10000 กีบ
มันก็อร่อยดีอยู่ แต่เราไม่ enjoy เท่าไหร่
ไม่รู้เพราะอยากกินหมูกะทะ
หรืออาจจะเพราะคิดถึงแม่….
หลังอาหาร
เรามานั่งประชุมกันจริงจังมาก ว่าพรุ่งนี้จะไปไหนดี
เอาหนังสือมาเปิด ทั้ง lonely planet ทั้ง Routeguide
เซิร์ดอินเตอร์เนตว่า หลวงพระบางมันมีอะไรเที่ยวอีก
พวกนั้นมาก่อนเรา 2 วัน เลยเดินเล่นทั่วหมดแล้ว
น้ำตกเอย วัดเอย ก็ไปมาหมดแล้ว
แต่เรายังไม่ได้ดูเมืองเลย มรดกโลกเชียวนะ
ก็เลยได้แยกทางกันในวันพรุ่งนี้
แต่คืนนี้ เราไปร่วมทางกันต่อที่ยูโทเปีย
026
วันที่ 6
เราตื่นขึ้นมาทันเวลาอาหารเช้า 10 โมงพอดี
วันนี้ตั้งใจจะไปเดินเล่นรอบๆเมือง
ถ้าเป็นไปได้ก็อยากหาคนหารค่ามอไซด์ ขับทัวร์ซักหน่อย
เพราะไปถามราคามา มอไซด์ที่นี่ราคาวันละเป็นแสน
จ่ายคนเดียวคงไม่ไหว
ที่ล๊อบบี้ของโฮสเทล เป็นเหมือนจุดรวมพล
ทุกๆคนใช้นั่งเล่น ทานข้าว ดูทีวี แทงสนุ๊ก
อีกทั้งยังเป็นจุดที่ไวไฟแรงที่สุด
จึงเป็นโอกาสดี ในการหลอกล่อเพื่อนใหม่(อีก)
ไปเที่ยวรอบเมืองด้วยกัน
เราบังเอิญได้ทำความรู้จัก “ลู” ฝรั่งสาวผมสั้นจากเนเธอร์แลนด์
จะเรียกเธอว่า backpacker ก็ไม่ถูกซักเท่าไหร่
นางทำงานเป็นอาจารย์ที่เนเทอร์แลนด์
ได้วันลาหยุดมา 6 เดือน ตั้งใจจะมาเป็นครูอาสาที่ประเทศลาว
เราชื่นชมในอุดมการของนางนะ
เพราะถ้าจะหางานสอนที่ได้เงินด้วยมันก็มีเยอะ
แต่สิ่งที่นางต้องการไม่ใช่เงินอะ
ไม่ต้องให้เงิน ไม่ต้องให้ที่พักฟรีก็ได้
อยากมาสอนจริงๆ อยากมาช่วยเหลือจริงๆ
เมื่อเช้า นางเดินหาโรงเรียนที่จะรับสมัครครูอาสา (ตอนที่เรายังไม่ดื่น)
ผ่านไป 3 โรง ไม่มีที่ไหนรับเลย
เข้าใจนะ แต่ละโรงเรียนมันก็ไม่ได้ใกล้กัน
แล้วการมาแบบสุ่มๆอย่างนี้
ยากยิ่งกว่าตอนเราเดินหาโฮสเทลอีกค่ะ
อาจารย์คนนึงในโรงเรียนที่ 3 ให้เบอร์โทรติดต่อไปโรงเรียน 4
นางต้องกลับมาใช้ไวไฟที่โฮสเทลเพื่อโทรไป
แต่ก็คุยกับปลายสายไม่รุ้เรื่อง
เราเลยเสนอตัว ว่าให้เราลองคุยให้มั้ย
ภาษาไทยกับภาษาลาวมันใกล้เคียงกัน เผื่อช่วยอะไรได้
“ที่โรงเรียน รับสมัครครูอังกฤษบ๊? แบบครูโวลันเที่ยหนะ”
“เยสๆๆ มาเล้ยๆ”
ดูปลายสายจะตื่นเต้นมาก
และบอกให้มาเจอกันที่โรงเรียนได้เลย
เราสอบถามรายละเอียดตามที่ ลู บรีฟมา
เรื่องเวลาการทำงาน สวัสดิการ และอื่นๆ เมื่อโอเคทั้งสองฝ่าย
ครูใหญ่ จึงมารับเราสองคนถึงหน้าโฮสเทล (คนที่คุยเป็นถึงครูใหญ่เลยนะ)
เพื่อพาไปโรงเรียน
เดี๋ยวค่ะ
คืออยู่ดีๆก็ได้ไปกับเค้าซะงั้น
แผนหลอกล่อหาคนไปเที่ยวด้วยกันของเรา
โดนแผนซ้อนแผน 5555
แต่ก็ไม่เป็นไรหรอก ได้ไปเดินดูโรงเรียนกับคนที่นั้นจริงๆ
มันอาจจะน่าสนุกกว่าเนอะ
แถมรู้สึกมีประโยชน์ขึ้นมาบ้าง
027
โรงเรียนมิตรภาพ
ที่นี่ชื่อโรงเรียนมิตรภาพ…
ครูใหญ่พาเราเข้าชมโรงเรียนทุกห้อง ทุกชั้น
ตั้งแต่อนุบาล ยันประถมศึกษา อยุ่ในโรงเรียนเล็กๆแห่งนี้
แม้กระทั่งห้องเด็กอนุบาลที่นอนกลางวันอยุ่
ครูก็เปิดประตูเข้าไปปลุกเด็ก ให้มา สะบายดี พวกเรา – -“
โรงเรียนที่นี่น่าอยู่นะ
เด็กๆน่ารักมากกกก เดินเข้ามาแล้วโลกสดใส
ทักทาย สะบายดี สะบายดี ทั้งโรงเรียนเลย
ครูใหญ่ บอกเราว่า
เคยมีครูอาสาสมัครมาสอนแค่คนเดียว สอนอยู่สองอาทิตย์ก็กลับ
อยากให้เด็กที่นี่อ่าน/เขียน ภาษาอังกฤษให้ได้
อยากให้มีครูฝรั่งมาเยอะๆเหมือนโรงเรียนอื่นบ้าง
แต่โรงเรียนไม่ได้มีเงินขนาดนั้น
หลังจากเยี่ยมชมโรงเรียนเรียบร้อย
ตกลงกันว่า เริ่มมาสอนได้เลยในวันพรุ่งนี้
และจะจ่ายค่าที่พักและอาหารเช้า/เที่ยงให้เป็นค่าตอบแทน
ครูก็พาเราไปหาโรงแรมใกล้ๆโรงเรียน
ตอนแรกลูบอกว่า ให้นอนในโรงเรียนเลยก็ได้ ไม่มีปัญหา
แต่ครูว่ามันน่ากลัวเกินไปหน่อย สำหรับผู้หญิงคนเดียว
ในระหว่างที่คุยๆกันอยุ่ (เราต้องแปลให้ลูฟังเรื่อยๆ)
เรายังแอบลังเลตั้งหลายครั้ง
หรือว่าจะลองสมัครสอนที่นี่ด้วยเลยดีมั้ย
แต่ก็ปฏิเสธไป เพราะต้องกลับไปทำธุระที่บ้าน
น่าเสียดายอยู่เหมือนกัน
จะได้ได้มิตรภาพ
ที่โรงเรียนมิตรภาพ
028
ได้เที่ยวซักที
ครูใหญ่ส่งเรากลับโฮสเทล
คิดว่าต่อจากนี้แหละ จะได้ไปเที่ยวกันแล้ว
แต่ภารกิจของลู ยังไม่จบแค่นี้ค่ะ
เนื่องจากชุดที่นางเตรียมมา มีแต่เสื้อกล้าม
คงไม่เหมาะนักที่จะใส่ไปสอนหนังสือวันพรุ่งนี้
นางเลยชวนไปเลือกซื้อชุดสอนหนังสือใหม่
ค่าาาาา
ตามสบายเลยค่าาาาา
…..
จน 5 โมงเย็น
ทุกภารกิจเสร็จสิ้น
“ลู ขึ้นไปดูพระอาทิตย์ตกที่พระธาตุพูสีกันเถอะ”
เราเอ่ยปากบอกนาง แล้วก็เดินไปกัน
มันควรจะเป็นเวลาของเราซักที
วัดพระธาตุพูสี เป็นวัดบนยอดเขา
สามารถมองเห็นทั้งเมืองหลวงพระบางได้เลย
สวยงามมากกก
เสียค่าขึ้น 20,000 กีบ ก็ถือว่าคุ้มนะ
เพราะใครมาหลวงพระบางแล้วไม่ได้ขึ้นเนี่ย
เราถือว่ามาไม่ถึงที่ 555
ถึงแม้วันนี้เราจะไม่ได้เที่ยวอะไรมากมาย
แต่มันก็เป็นวันดีๆที่น่าจดจำวันนึง
สิ่งหนึ่งที่ทำให้การเที่ยวคนเดียวสนุกกว่าคือ
มิตรภาพมันเกิดขึ้นได้ง่ายมากๆ นั่งกินข้าวอยู่เฉยๆ ก็มาละ
มันไม่ได้น่ากลัวขนาดนั้น
เราแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยตัวเอง แล้วเรียนรู้จากมันด้วยตัวเอง
ความอิสระ จะสอนให้เรากล้าตัดสินใจ สอนให้เรามั่นใจ
เราอาจจะไม่ได้เป็นครูสอนที่โรงเรียนมิตรภาพ
แต่เรากลายเป็นนักเรียนในโรงเรียนมิตรภาพบนเส้นทางเดินครั้งนี้แทน
ลู เพื่อนรัก
029
“อยากกินหมูกะทะ”
เราเอ่ยปากชวนนางระหว่างเดินลงจากพระธาตุ
“I’m a Vegetarian…”
เอิ่มมม…รู้สึกเหมือนโดนหักอกอะ
อยากกินหมูทะมาก ไม่รู้ไปอดอยากมาจากไหน
อุส่าเดินไปเจอร้านหมูกะทะร้านใหม่
ราคาแค่ 40,000 ถูกกว่าร้านเมื่อวานอีก
ก็ต้องอดไป เพราะนางเป็นมังสวิรัต
แล้วเราก็เดินไปยูโทเปียกัน
กินน้ำยอดข้าวแทน …
ยูโทเปีย เป็นร้านหนึ่งในหลวงพระบางที่ชิลมากๆ
ทำเลริมแม่น้ำโขง
ตอนกลางวัน เอาไว้นั่งชิล นอนชิล อ่านหนังสือ
มีลานโยคะ ทุกเย็น
มีสนามวอลเล่บอลชายหาด ที่มีแต่ทราย ไม่มีหาด
ส่วนตอนตอนกลางคืนเป็นคลับบาร์ ปาร์ตี้
คนเต็มร้าน ทุกที่ยืนและที่นั่ง
เป็นร้านในอุดมคติ แหล่งแฮงเอ้าท์ชั้นยอด
ขาดแต่สระว่ายน้ำอย่างเดียว
ถ้าอยากว่ายน้ำขนาดนั้นก็โดดลงแม่น้ำโขงเหอะ
ที่นี่เป็นที่ประจำการทั้งตอนกลางวันและกลางคืนของพวกเราหละ
ถ้าหาเพื่อนไม่เจอ จะเป็นอันรู้กันว่า มันน่าจะมาสิงสถิตย์อยู่ยูโทเปีย
และเป็นไปตามคาด
มันมาเล่นวอลเล่บอลกันค่ะ
เรานั่งเล่น จิบเบียร์ จนมืด
พอพวกนั้นเล่นวอลเล่เสร็จ ก็พากันออกไปหาไรกินใกล้ๆ
ความพยายามของเรายังไม่สิ้นสุด
เราเอ่ยปากชวนไปกินหมูกะทะ ที่หน้าปากซอยนี่เอง
จากที่เมื่อวาน พวกนางบอกว่าหมูกะทะมันแพง เลยไม่กิน
วันนี้เราเจอร้านหมูเจ้าไหม่ 40000 กีบ ถูกกว่าเจ้าเมื่อวานตั้ง 20000
พร้อมกับคำโฆษณาว่า
“นี่คืออาหารพื้นถิ่นของคนลาวนะ
มาถึงลาวทั้งที ไม่ได้กิน local BBQ ก็เหมือนกับมาไม่ถึงที่อะ”
ขายขนาดนี้ ไม่ไปก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว
บอกว่าไกลไปก็ไม่ได้นะ มันอยู่หน้าปากซอย
แพงไปก็ไม่ได้นะ เพราะราคามันถูกกว่าร้านเมื่อวาน
ข้าวราดแกงก็กินมันทุกวัน เปลี่ยนบ้างเห้ออออ พ่อคุณ
จนในที่สุด
วันนี้ฉันก็ได้กินหมูกะทะสมใจ
ทั้งหมู ทั้งเนื้อ ทั้งควาย จัดไปค่ะ
ดีใจเหมือนขึ้นสวรรค์
ทั้งๆที่รสชาติก็งั้นๆ แถมได้น้อยมาก
ส่วนลู กลับไปกินคลีนที่โฮสเทล
030
เลี้ยงส่งยูโทเปีย
คืนนี้เป็นคืนสุดท้ายของเราและชาวแก๊ง ต้องฉลองกันหน่อย
พวกเรากลับไปอาบน้ำที่โฮสเทล แล้วออกไปยูโทเปียกันอีกรอบ
(บอกแล้วว่าไปทุกวัน อยู่มันทั้งวันทั้งคืน)
ครั้งนี้ มีพี่ที่รู้จักเราไปด้วย เพราะเราโพสภาพลงเฟสบุค
แล้วบังเอิญพี่แกมาทำงานที่หลวงพระบางพอดี ก็เลยได้มาจอยกัน
วันนี้นางหนีหัวหน้าออกมา
บอกว่าอยู่หลวงพระบางหลายวันแล้ว ไม่ได้ออกไปไหนเลย 5555
ยูโทเปีย จะปิดประมาณ เที่ยงคืน ถึง ตี 1 อารมณ์ไม่จบ
เรา และฝูงอีกประมาณ 8 คน
ไปต่อกันที่ โต๊ะม้าหินอ่อนริมโขง แถวโฮสเทล
ชิลไปอีกกกก ทั้งดื่ม ทั้งเล่นเกมส์ไพ่ ยันตี 3 ค่าาา
ไม่จบแค่นั้น หิวค่ะหิว
เลยไปหาอะไรกิน ยังเหลือรถเข็นบาเก็ตขายอยู่ร้านเดียว
ก็เลยตกลงปลงใจ กินตรงนั้นเลย
นี่คือ โฉมหน้าผู้รอดชีวิต
พี่พีระ โรบิน เจมส์ มหา
(จริงๆชื่อ มฮอลห์ ภาษาฝรั่งเศส แต่เราออกเสียงไม่ได้ เลยเรียกว่า ‘มหา’)
ความกึ่ม ทำให้ความสามารถในการตัดสินใจลดลง
จะทำอะไรก็ได้ กุเก่ง กุไม่กลัวอะไรทั้งนั้น
เจมส์ ท้าโรบินกินพริก 1 ช้อนพูนๆ
“ถ้ากินหมด เอาไปเลย 100,000 กีบ!!!!”
เราเป็นคนกินเผ็ดได้ เลยแอบลองชิมนิดนึง
คือมันพริกจริงๆ ที่เผ็ดมากๆ
แต่โรบินก็กินหมด
เพื่อเงินล้วนๆ
เห็นแล้วแสบตูดแทนจริงๆข่าาา
5555
เรา โรบิน มหา
สองคนนี้เป็นรูมเมทเรา
ส่วนเจมส์ กับ พี่พีระ กลับโรงแรมตัวเองตลกดี ทุกคนในนี้ มาเที่ยวคนเดียว
แล้วบังเอิญมาเจอกันที่นี่ หลวงพระบาง
ถือว่าเราโชคดีมาก ที่ได้มาเจอกัน
เรา มาเที่ยวหลังจากลาออกจากงาน
มหา หนุ่มฝรั่งเศส มาเที่ยวหลังจากจบงานอาสาสมัครที่เชียงราย
โรบิน ฝรั่งเศสเหมือนกัน มาเที่ยวหลังจากจบอาสาสมัครที่ระนอง
เจมส์ ฝรั่งเศสเหมือนกัน ไม่รุไปไหนมา แต่รู้จักโรบินจากวังเวียง
พี่พีระ หนุ่มสุดหล่อจากประเทศไทย มาทำงาน 555
แล้วคืนสุดท้ายที่หลวงพระบางก็จบลง
เดินทางไปวังเวียงเราตื่นสายมาก
ทำให้ไม่ทันรถบัสไปวังเวียง รอบ 8โมง และ 10 โมงเช้า
และอย่าได้พูดถึงแพลนที่วางไว้เมื่อวาน
นัดกัน ว่าจะไปตลาดเช้ากับรูมเมท แป๊กกันถ้วนหน้าค่ะ
ความคิดที่จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นคนตื่นเช้า
หายไปตั้งแต่ก้าวเท้าเหยียบหลวงพระบาง
เราเรียกตุ๊กๆหน้าโฮสเทล ไปส่งที่ bus station
เพื่อรอขึ้นรถรอบบ่ายโมง
รอ รอ รอ
บ่ายโมงแล้ว รถยังไม่มา
บ่ายโมงครึ่ง รถก็ยังไม่มา
บ่ายสอง รถก็ยังไม่มา
เลยเข้าไปถามที่เค้าเตอร์ขายตั๋ว
เค้าบอกรถเติมน้ำมันอยู่ ใกล้มาแล้ว รอก่อนๆ
รอจนบ่าย 3 …..
รถเข้าเทียบชานชาลา
เก็บกระเป๋า เก็บรองเท้าใส่ถุง
บ่าย 3 ครึ่งรถออกค่ะความตรงเวลาอยู่ที่ไหน!
เซงมากๆ ง่วงก็ง่วง แฮงค์ก็แฮงค์ หิวก็หิว
จะนอนก็ไม่กล้านอน กลัวของจะหาย
ถ้าพี่จะมาเลทขนาดนี้
ทำไมไม่บอกแต่แรกว่ารถรอบบ่าย 3 จะได้มาตอนบ่าย 3
มันไม่ใช่การเลทแบบดินถล่มที่เคยเจอ
แต่มันเหมือนเลทเพราะรอขายตั๋วให้หมดแล้วค่อยออก
แล้วนี่ จะไปถึงวังเวียงกี่โมงเนี่ยยยยย
(บ่นๆ)
โชคดีอยู่นิดนึง
ตรงที่ เจอเพื่อนที่ปาร์ตี้ด้วยกันเมื่อคืน
มาขึ้นรถไปวังเวียงรอบนี้พอดี
เลยมีคนคุยด้วย
แต่พอขึ้นรถปุ๊ป ก็หลับตลอดทาง…
รถจอดพักให้ทานข้าว เข้าห้องน้ำ ห้องน้ำจริงๆ
เริ่มรู้สึกว่า ทางระหว่างเมืองท่องเที่ยว จะเริ่มมีความเจริญขึ้นมาหน่อย
ไม่ได้จอดข้างทางให้ไปฉี่เหมือนตอนลาวเหนือช่วงแรกๆแล้วเสียค่าเข้าห้องน้ำ 2000 กีบ
ค่าเฝอเนื้อ 15000 กีบ
แต่วิวที่นี่หลักล้านล้านกีบเลยค่าาาา
เป็นจุดแวะที่สวยที่สุดที่เคยเจอ
ร้านนีอยู่บนเนินเขา มองเห็นวิวภูเขาสีเขียวไกลสุดตา
หมอกเบาๆ อากาศเย็นๆ จนขนลุกซู่ ต้องหยิบฮู๊ดดี้ขึ้นมาสวม
การมาหน้าฝนดีอยู่อย่าง คือ อากาศไม่ร้อนดี
แถมยังได้เห็นความเขียวขจี ของป่าที่สมบูรณ์
เรามาถึงวังเวียงตอน 4 ทุ่มเป็นเรืองที่ไม่ควรเป็นอย่างยิ่งสำหรับผุ้หญิงที่มาคนเดียว
ถ้าเดินทางตอนกลางคืนอะ ไม่มีปัญหาหรอก
แต่การถึงที่หมายในเวลากลางคืนนี่สิ ปัญหา
เราไม่ได้จองโฮสเทลมา
เพราะคิดว่าที่วังเวียง น่าจะมีโฮสเทลอยู่เยอะ หาไม่ยาก
และเราก็เล็งไว้ที่นึง ชื่อแพนเกสเฮ้าส์
จากการถามรีวิวจากโรบินและมหา พวกนั้นบอกว่าดี เราก็เชื่อ
รถบัสที่เราขึ้น เป็นรถบัสไปเวียงจันทร์
เพราะฉะนั้น มันจะจอดปล่อยเราที่ข้างทางถนนใหญ่ แล้วไปต่อ
เพื่อนสองคนนั้นที่ขึ้นรถมาด้วยกัน (ซิโมนกับทิม) จองที่พักไว้แล้ว
แต่ก็อดเป็นห่วงเราไม่ได้ เลยเดินมาส่งถึงแพนเกสเฮ้าส์ แล้วค่อยแยกย้ายกลับไป
ที่หน้าแพนเกสเฮ้าส์นี้ มีคนออกมานั่งคุยกัน
กินเบียร์กันเยอะมาก จนเต็มลานข้างหน้า
เรามาถึงดึกขนาดนี้ก็มีหวั่นอยู่เหมือนกัน ว่ามันจะเต็ม
และก็เป็นอย่างที่คิดจริงๆ
ที่พักเต็ม…
เราถามพี่ฝรั่งรีเซฟชั่นว่ามีโฮสเทลอีกมั้ย แถวนี้
เค้าเลยแนะนำให้ไปตรงโน้นนนนนน เดินต่อไปอีกหน่อยนึง
ซึ่งเกสเฮ้าส์นี้ก็อยู่จนเกือบชานเมืองอยู่แล้ว ต้องออกไปไกลอีก
ก็โอเค ไปตามทางที่เค้าบอก
…..
เกสเฮ้าส์นี้ เป็นตึกเดี่ยวๆหลังสุดท้าย ถัดไปก็เป็นทุ่งนาแล้ว
มันเงียบมาก เหมือนไม่มีคนอยู่ (ก็แน่หละ มาซะดึกขนาดนี้)
มีต้นไม้ใหญ๋อยู่หน้าตึก ตอนกลางวันอาจจะดูร่มรื่น
แต่ตอนกลางคืนนี้กลายเป็นอึมครึมเหมือนป่า
เรายืนสั่นกระดิ่ง ตรงหน้าเค้าเตอร์ซักพักก็มีรีเซฟชั่นเดินมารับ
ที่นี่มีทั้งห้องส่วนตัว และห้องรวม
เราเลือกห้องรวมอย่างไม่ต้องสงสัย
เพราะเข็ดการนอนห้องเดี่ยวมาตั้งแต่เมืองงอยแล้ว
ในห้องนี้เป็นห้องพัดลม ทาสีเขียวแปร๋น มีอยู่ 6 เตียง
และในห้องน้ำ มีกางเกงในแขวนอยู่หนึ่งตัว
มีที่ล็อคเป็นตะปูดอกเดียว (อีกแล้ว)
มีคนจองพื้นที่ไปแล้วหนึ่งเตียง แต่ไม่มีคนอยู่
เรานั่งอยู่คนเดียวในห้อง
รู้สึกได้ถึงความวังเวงยังไงชอบกล
เสียงพัดลมหมุนวิ๊งๆ อยู๋บนหัว
เสียงใบไม้ กิ่งไม้ข้างนอกกระทบกัน
แล้วก็มีลมวูบบบบบบ….ผ่านหน้าต่างเข้ามา
ขนลุกเลยทีเดียว…….
ภูมิคุ้มกันการอยู่คนเดียวเราหายไปตั้งแต่เมืองงอยวันก่อนๆแล้ว
พอมาเจอบรรยากาศแบบนี้ มันเลยหลอน ทำใจนอนลำบาก
อยู่ห้องเดี่ยวคนเดียว ยังรู้สึกดีกว่าอยู่ห้องรวม 6 เตียง
แต่ไม่มีใครซักคนอีกค่ะ ณ จุดนี้
(หรือมันอาจจะมี แต่เรามองเห็นนน บรึ๊ยยยย)
เราเลยตัดสินใจ
ลองออกไปเดินดูที่พักที่ใหม่ในเมืองอีกครั้ง
เพราะตั้งแต่จุดที่รถบัสจอดส่งเดินมาจนถึงจุดนี้
มันยังไม่เข้าตัวดาวทาวน์จริงๆเลยค่ะ
ระหว่างเดินจากที่พักเข้าเมือง ตอนดึกแบบนี้ ก็ต้องทำใจหน่อย
เพราะทางมันเปลี่ยวมากๆ
…..
กลั้นใจเดินมาจนถึง โซนเมือง
เพราะได้ยินเสียงเพลงจากบาร์เปิดดังมาก
มีบาร์เต็มไปหมด แต่ที่พักทั้งหลายปิดเงียบ
‘แล้วอย่างงี้จะได้ที่พักใหม่มั้ย?’
โฮสเทลที่ 1 ไม่มีรีเซฟชั่นหน้าเค้าเตอร์แล้ว
โฮสเทลที่ 2 เต็ม
โฮสเทลที่ 3 เต็ม แต่….
“ห้องรวมเต็ม แต่มีห้องเดี่ยวเหลืออยู่ห้องนึง เอามั้ยหละ?
นี่หนูมาจากไหนเนี่ย”
ป้าเจ้าของโฮสเทล นุ่งกระโจมอก
เหมือนเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ถามเรา
ก็เลยบอกไปว่า “มาจากเกสเฮ้าตรงโน้นนค่ะ (อธิบายยาวๆ)
มันไกลมาก เลยมาเดินดูโฮสเทลแถวนี้”
“อ๋อออ ไกลนะนั่น
อาทิตย์ก่อนตรงนั้นเพิ่งมีเด็กแว๊นซิ่งมอไซด์ชนเสาไฟฟ้าตาย”
พีคเข้าไปอีกจ้าาาาาา อิป้านี้
นี่กุต้องเดินกลับไปเอากระเป๋าที่ทิ้งไว้ที่เกสเฮ้านั้นอีกนะเว่ย
Skill การตลาดของป้าดีมาก
เป็นการได้ลูกค้าโดยที่ไม่ต้องโฆษณาตัวเอง
แต่ใช้การบั๊ฟคู่แข่งแทน
จริงไม่จริงไม่รู้แหละ แต่กุกลัว
“เอิ่ม….ป้าคะ ป้าจะนอนยังคะ
หนูต้องกลับไปเอากระเป๋าที่โน้น
แล้วหนูจะกลับมา”
“เอ้อ เร็วๆนะ ป้าจะนอนแล้ว”
“ป้า…หนูกลัวอะ
มีมอไซด์ให้ยืมมั้ย
จักรยานก็ได้อะ”
“ไม่มีจ้า
อย่าไปกลัวจ้าาา
มันไม่มีอะไรหรอกกกก”
‘ตบหัวแล้วลูบหลังกุชัดๆ ป้านี่’
T_T
อยากจะทิ้งกระเป๋าไว้โน้นเลย แล้วค่อยกลับไปเอาใหม่ตอนเช้า
(แล้วทำไมไม่เอากระเป๋ามาตั้งแต่แรกก็ไม่รู้ โว้ยยย)
แต่ก็ฮึบสู้อีกครั้ง
เพราะรู้สึกว่า ยังไงก็จะไม่นอนที่นั่นเด็ดขาด จะไปเป็นครั้งสุดท้าย
เซ้นมันบอกให้ออกมา
เราเชื่อสัญชาตญาณตัวเอง
……
ไม่เคยเดินเร็วขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
……
เป็นเวลาเที่ยงคืนพอดี
เราเดินกลับมาถึงเกสเฮ้าไกลๆ
เปิดเข้าห้องเขียวทีนี่ลมพัดวูบบบบ + ขนลุกซู่
เรารีบไปหยิบกระเป๋าแล้วเดินออกมาที่เค้าเตอร์
สั่นกระดิ่ง แต่ไม่มีใครอยู่
รู้สึกเหมือนทั้งโรงแรมมีเราพักอยู่คนเดียว ยังไงยังงั้น
เรียกก็แล้ว เดินวนไปวนมา เดินไปดูข้างนอก ดูข้างๆ ก็ไม่มีใคร
จะให้นั่งรออยู่นี้ก็ใช่เรื่อง ยิ่งหลอนๆอยู่
ก็เลยเขียนโน้ตเป็นภาษาอังกฤษวางไว้ที่เค้าเตอร์ พร้อมคืนกุญแจ
ก็แอบงงอยู่เหมือนกันนะ ที่นี่ไม่ขอข้อมูลลูกค้าเลย
ไม่ขอพาสปอต ไม่ต้องเขียนใบเข้าพัก
แถมยังไม่เก็บเงินก่อนด้วย
เรารีบเดินจั้มอ้าวไปยังที่พักป้าในเมือง
พร้อมกระเป๋าเดินทางใบไม่ใหญ่ แต่หนัก
พยายามไม่มองเสาไฟฟ้าใดๆ ทั้งสิ้น
…..
จนกระทั่งมาถึงจุดหมายอย่างปลอดภัย บ้านป้า
VangVieng Backpacker Hostel
เคาะห้องปลุกป้า เอากุญแจ 555
เช็คอินเข้าพักตอนเกือบจะตี 1 พอดี
ห้องเราเป็นห้องเล็กๆ อยู่ชั้นหนึ่ง
ตรงข้ามกับห้องป้าเลย ต่างกันแค่ ห้องเราเป็นห้องพัดลม
ห้องนี้สีเหลืองอ๋อย ที่พีคกว่าคือห้องน้ำสีแดงแจ๋
มีกระจกใหญ่มาก เพื่อให้ห้องดูกว้างขึ้น
และตอนนอนก็กลัวหลอนไปอีก
เกิดตื่นขึ้นมากลางดึกแล้วเห็นเงาตัวเองจะนึกว่าเป็นเงา something 555
จินตนาการเผื่อไว้เลยค่ะ จะได้แก้ไขปัญหาทัน
เราแก้ด้วยการนอนขวางเตียง 555
นอกจากจะไม่ต้องเห็นเงาตัวเองแล้ว
มันยังสามารถกัน something มานอนข้างๆได้อีกด้วยค่ะ
(พอเอากลับมาเล่า
แล้วก็ตลกตัวเองที่ตอนนั้นคิดแบบนั้น ฮ่าๆ
เรามันคนขี้กลัวไปป่าววะ)
เรื่องสภาพห้องไม่พูดถึงค่ะ
ตามภาพเลย ไม่ได้ดีมาก แต่ก็อยู่ได้ ไม่ซีเรียสเรื่องนั้น
เราเชื่อว่า ไม่ว่าห้องจะดีหรือไม่ดี
มันก็ทำให้เราหลอนได้หมด ณ จุดนี้
นอนซักทีเถอะค่ะ นี่มันก็ดึกมากแล้ว
เมืองเล็กแต่วุ่นวายเช้าวันใหม่
ตื่นแต่เช้าไปเดินเล่น
และทานเบอร์เกอร์สามแยก อาหารสุดฮอตของวังเวียง
ที่นี่ไม่ได้เป็นเมืองเล็กๆ น่ารักๆ อย่างที่จินตนาการไว้ก่อนมา
ผู้คนขวักไขว่กันวุ่น
ตึกปูนเตี้ยๆกำลังก่อสร้างมากมาย
แต่ภูเขาก็ยังมีสายหมอกสวยงาม
ไม่รู้ใครนิยามไว้ ว่าเมืองงอยคือวังเวียงสอง
เดาว่าคนนิยามมันต้องมาเมืองสิบยี่สิบกว่าปีที่แล้วแน่ๆ
ตอนที่ยังไม่วุ่นวาย ไม่มีที่พักเยอะๆ ยังไม่มีตึกสูงๆ
ทำไมมันต่างจากเมืองงอยได้ถึงขนาดนี้เนี่ยย
ลาก่อยค่ะ ห้องเดี่ยว เราไม่ต้องการความเป็นส่วนตัว
ที่รู้สึกเหมือนไม่ค่อยส่วนตัวเท่าไหร่
คือถ้าจะมีใครซักคน ก็มีมาเลยค่ะ
โจรก็ได้อะ แต่ขอให้เรารู้ว่าเป็นโจรหน่อยละกันไม่ใช่สิ่งที่มี แต่มองไม่เห็น…แบบนี้
………………..
เราเดินมาแถวๆ ซากุระบาร์
ในซอยเดียวกัน จะมีโฮสเทลอยู่ที่นึง
the real Vanvieng backpacker hostel
โฮสเทลสีชมพู
คิกขุ พิกาจู้มากๆค่ะ
ห้องพิกาจูนั้น คือห้องเราเอง
แล้วโฮสเทลนี่ก็ต้อนรับฉัน
ด้วยเสียงพิศวาศในห้องน้ำ
ได้ยินมาตั้งแต่ทางเดินละ กำลังว่าจะไปอาบน้ำ ถึงกับผงะ
ต้องเปลี่ยนแผนใหม่ ไว้อาบทีหลังก็ได้วะ
ถ้าพี่จะทำอะไรกันในห้องน้ำด้วยเสียงดังขนาดนี้
เมิงไปเปิดโรงแรมดีมั้ยยยยยย!!!
มันจะมีเรื่องให้ปวดหัวตั้งแ่ก้าวแรกเลย
ไหนหนอ ความสงบสุขของฉัน
สงสัยคงต้องปรับทัศนคติตัวเองเสียใหม่ซะแล้วฉันควรจะปรับตัวเข้ากับมัน…
แทนการคาดหวังว่ามันจะเป้นอย่างที่เราอยากให้เป็น
Blue lagoonเราเก็บของเข้าห้อง
กะจะชวนรูมเมทออกไปบลูลากูน
แต่ไม่มีใครอยู่ซักคน (อาจจะอยู่ในห้องน้ำนั้นก็เป็นได้ 555)
ก็เลยออกมาเช่ามอไซด์ไปเองคนเดียวเลยแล้วกัน
โชคดีตอนที่เช่ามอไซด์
มีผู้หญิงฝรั่งรัสเซียสองคนมาเช่าพร้อมกันพอดี
ก็เลยถือโอกาสเมคเฟรน
และขี่ไปบลูลากูนด้วยกันซะเลย
ต้องข้ามสะพานนึง ข้ามแม่น้ำซอง
ซึ่งเก็บตังค่าผ่านทางด้วย
จ่ายไป 10,000 กีบ…
(ค่าผ่านทางแพ๊งแพง ได้เบียร์ขวดใหญ่1ขวดเลยนะนั้น)
มดลูกสั่นสะเทือน ปวดตั้งแต่ตูดยันไหปลาร้า
เค้าบอกว่าขับแค่ 7 กิโล แต่รู้สึกเหมือนไกลกว่านั้น
ขับยังไงก็ไม่ถึงซักที ระบมไปหมดแล้วจนกระทั้ง ทนขี่มาจนถึง Blue lagoon
ป้ายื่นตั๋วมาให้ 2 ใบ ใบละ 20,000 กีบ
เลยจ่ายไปอีก 20,000 กีบ เป็นค่าเข้าไปโดด
เพราะเคยผิดหวังกับน้ำตกกวางสีที่หลวงพระบางมาแล้ว
แต่สีน้ำของที่นี่ก็ไม่แย่ขนาดที่คิดไว้
มันยังมีสีฟ้าขุ่นๆพองามอยู่
ไม่ได้เป็นสีน้ำป่าไหลหลากเหมือนที่กวางสีโอเค เล่นๆ โดดๆ อย่างเมามัน โดดอย่างเดียว
เพราะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรงซักคน 555
เล่นน้ำเสร็จ ซึ่อส้มตำ ซื้อเบียมากิน จบ แล้วกลับเลย
มีแก๊งหนุ่มเกาหลีที่เล่นน้ำด้วยกันเมื่อกี้
ขับรถตามมาชวนพวกเรา ไปปาร์ตี้ที่ซากุระบาร์คืนนี้
เรากับสาวรัสเซีย ก็เออออห่อหมกไปเจอกันสองทุ่มแล้วกัน
เพราะ 2-3 ทุ่มเป็น happy hour กินฟรี เมาฟรี (แอบอ่านป้ายก่อนมา)
จ่ายค่าผ่านทางมาแพง จะขับผ่านเฉยๆก็กระไรอยู่ กลัวไม่คุ้มไง
555
เรามาคนเดียวกลับเข้าห้องมาอาบน้ำแต่งตัว
ตาก็เหลือบไปเห็น แผนที่วังเวียง ที่ถูกวาดอย่างใหญ่อยู่บนผนังหน้าห้อง
เพ่งมองมันอยู่ซักพัก ก็รู้สึกตะหงิดใจ
ในแผนที่เขียนไว้ว่า
…..
‘ค่าข้ามสะพานไปทางบลูลากูน ราคา 5000 กีบต่อคน’
…..
ภาพ Flashback ย้อนขึ้นมาเลยจ้า
ชอตแรก
เราโดนเรียกเก็บค่าข้ามสะพานไป 10,000 กีบ…ทั้งๆที่ขับไปคนเดียว
อีกแง่อาจจะโดนหลอกเอาเงินก็ได้
เราเดินไปถามรีเซฟชั่น
ไลน์ถามเพื่อน ถามทุกคนที่เคยมา
มันจ่ายค่าข้ามสะพาน 5000 กีบกันหมดเลย….
ชอตสอง
พอถึงบลูลากูน จำได้ว่าป้ายื่นตั๋วมาให้เราสองใบ
จนเราต้องบอกป้าว่า
‘ป้าคะ หนูมาคนเดียวค่ะ’
ซึ่งมันอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ
แบบว่าป้าหยิบติดมือมาสองอัน ไรงี้
หรือว่า
จะมีคนเห็นว่าเราไม่ได้มาคนเดียว…..
มีใครอีกคน อยากเป็นเพื่อนเราหรอออออออ
…..
โอ้ยยย
จะให้โลกสวยแค่ไหน ก็หลอน
นอกจากจะหลอนแล้วยังเปลืองตังกุอิ๊กกกก
T___T
เราเล่าให้เพื่อนฟังผ่านไลน์ นางก็ช่วยปลอบว่า
“มันไม่มีอะไรหรอก ต้นอ้อ อย่าคิดมาก
ต้องให้เค้าเสิร์ฟน้ำสองแก้วก่อน ค่อยคิดก็แล้วกัน…”
เออเนอะ เป็นความคิดที่ดี
แล้วเราก็เดินไปกิน ติ่มซำหน้าโฮสเทล
สั่งเสร็จสับ ก็มานั่งรอลุ้นที่โต๊ะ
(นึกแล้วก็ขำตัวเองนะ
จะอยากพิสูจน์ความจริงอะไรขนาดนั้น)
สังเกตเด็กเสิร์ฟตั้งแต่ไปตักน้ำมาให้เลย
ลุ้นยิ่งกว่าป๊อกเด้ง
จนกระทั้ง ได้น้ำมาเสริฟที่โต๊ะ 1 แก้วถ้วน
โคตรโล่งใจเลย…
เหมือนยกภูเขาออกจากอก
แต่มันไม่จบแค่นั้นหวะ
“พี่ๆ ขอตะเกียบด้วยค่ะ”
พี่แกหยิบตะเกียบมา 2 คู่!!!! กำลังเดินมาให้ที่โต๊ะ
ตอนนั้นนึกในใจว่า เชี่ยแล้ววว กุน่าจะไปหยิบเอง
แต่สุดท้าย
ก็วางที่โต๊ะเราอันนึง
และวางให้ลูกค้าอีกโต๊ะนึง
55555
สบายใจแล้วค่ะ เที่ยวต่อได้
…..
(ตอนนั้นก็ไม่รู้ว่าสบายใจไปได้ยังไง
เพราะ แค่เค้าไม่ได้เสริฟน้ำสองแก้ว และตะเกียบสองคู่
แต่ยังไง เมิงก็โดนค่าสะพานสองคนกับป้าตั๋วสองใบไปแล้วว้อยยย)
SAKURA BARถึงเวลานัด 2 ทุ่ม
เราชวนเพื่อนที่เจอกันตอนอยู่หลวงพระบางไปซากุระบาร์ด้วย
แล้วพวกแก๊งเกาหลี กับรัสเซียที่นัดกันที่บลูลากูน
เราก็ดันไม่มีคอนแท็กของซักคนอีก
แต่ก็ยังดีที่เรามี ทิมกับซีโมน
สองคนนี้เป็นคู่รักที่น่ารักมาก
ดีกับเรามากๆ บางทีก็ดูแลเหมือนลูก 555
พาจัดเหล้าฟรี
หยิบแก้ว ชน หมด หยิบใหม่ ชน หมด ลูปไปค่ะ
พาเล่นเบียร์ปอง พาขึ้นไปเต้นบนโต๊ะ
เออ
ใช่ค่ะ ขึ้นไปเต้นบนโต๊ะค่ะ
เป็นโต๊ะหลายๆตัวต่อกันเป็นเวที อยู่กลางร้าน
ไม่ซ่า ไม่เมา ทำไม่ได้นะคะ
และพาไปส่งโฮสเทล
ดูเหมือนพี่เกากับสาวรัสเซียจะไม่มาแล้ว
โดนเทเฉยเลย
แต่วันนี้ก็เป็นอะไรที่สนุกมาก
TUBINGวันที่ 2 ของวังเวียง
เราวางแผนไว้ว่าจะไปทูปบิ้ง (Tubing)
ทุบบิ้งคือการล่องแม่น้ำด้วยห่วงยาง
เป็นกิจกรรมหนึ่งที่ใครๆก็ต้องทำถ้ามาที่นี่
เราตื่นเกือบเที่ยง พร้อมเพื่อนร่วมห้องแก๊งพิกาจู
และเริ่มปฏิบัติการ หาคนไปทู๊บบิ้งด้วยกัน
แต่ก็ไม่สำเร็จ
เพราะพวกนั้นมีแพลนจะไปบลูลากูนวันนี้
จริงๆเราก็นัดทิมกับซีโมนไว้แล้วแหละ
แต่คิดว่าเผื่อจะมีเพื่อนจากโฮสเทลไปด้วยน่าจะดีกว่า
จะได้ไม่รู้สึกเป็นก้างขวางคอนัก เกรงใจ
มีเจ๊คนนึง เตียงล่าง ผ้าห่มเท็ดดี้แบร์
นางมาเที่ยวคนเดียวเหมือน
เข้ามาปลอบใจเรา ว่า
“ไม่ต้องกลัวนะ เมื่อวานชั้นก็ไปคนเดียวเหมือนกัน
มีคนไปคนเดียวเหมือนเธอเยอะ เวลาล่องไปในแม่น้ำ
เค้าจะไปกันเป็นกลุ่ม ลอยไปด้วยกัน จอดไปด้วยกัน
ไม่อันตรายหรอก เธอไม่ได้ไปคนเดียว
เชื่อชั้นสิ มันไม่เป็นอะไร…”
ป๊าดดด..มาแบบแม่พระ
เจ๊ดูเหมือนเป็นนักท่องเที่ยวที่ผ่านโลกมาเยอะแล้ว
เหมือนเป็นนางฟ้าผู้เข้ามาให้กำลังใจ
แล้วก้จากไป…
“แมนยู ไปบลูลากูนด้วยกันสิ”
รูมเมทอีกคนเสนอขึ้นมา
แต่เราเพิ่งไปโดดบลูลากูนมาเมื่อวานนี้เอง ก็เลยปฏิเสธไป
เราถูกเรียกว่าแมนยู
เพราะผ้าห่มบนเตียงเราเป็นลาย แมนเชสเตอร์ ยูในเต็ด
เราจำชื่อกันและกันไม่ได้ ก็จะเรียกตามลายผ้าห่มงี้แหละ
ส่วนชื่อพวกนั้นคือ
‘เฮลโหลคิตตี้’
‘สปองบ๊อบ’
และ ‘ลีโอพาร์ด’
พวกนางเป็นแก๊งแบ็คแพคเกอร์หนุ่มอังกฤษหน้าโหด
ชื่อช่างเข้ากับหน้าจริงๆ เลย 5555
สรุป เรามีผู้ร่วมอุดมการณ์ไปล่องทูบบิ้งด้วยแล้ว
เป็นหนุ่มอิสราเอล 2 คน
เดินไปที่หน้าร้านเช่าห่วงยาง
ทำเรื่องจ่ายตัง ค่ามัดจำ เขียนเบอร์ ฝากรองเท้า
เซ็นสัญญาไม่รับผิดชอบการตาย
จำได้ว่า จ่ายไปประมาณ แสนกว่าๆ รวมมัดจำ
ค่าห่วงยางคืนก่อน 6 โมงเย็น 55,000 กีบ
ต่อ 1 คนแล้วนั่งรถตุ๊กๆ ไปส่งที่จุดเริ่มต้นของแม่น้ำซอง
มีหลายคนที่มาคนเดียว และมันก็ไม่ได้มีแค่กรุ๊ปเรากรุ๊ปเดียว
พวกเราล่องไปด้วยกัน เกาะกันไป แวะไหน แวะด้วยกันนี่แก๊งเราค่ะ ทิม ซีโมน
และ ซาร่า สาวเมกันเที่ยวคนเดียวเก๋ๆ
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยค่ะ
เป็นเรื่องของการดื่มแอลกอฮอล ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายได้
เพราะที่นี่ก็มีคนเสียชีวิตเพราะการทำแบบนี่มานักต่อนักแล้ว
เหมือนเมาไม่ขับ แต่อันนี้จะเป็นเมาไม่โดดน้ำ ไรงี้พี่ลาวบอกมาว่า วันนี้มีบาร์เปิดอยู่ 4 จุด จากทั้งหมด 20 กว่าร้าน
เนื่องจากเป็นหน้าโลว์ และมีกฏหมายสั่งห้าม ก็เลยสลับกันเปิดคนละวัน
จะได้กระจายรายได้ให้ทั่วถึง และคนแต่ละร้านจะได้มาทีละเยอะๆ
แต่ละบาร์ก็จะมีกิจกรรมแตกต่างกันไป
เหมือนเล่นเกมส์ให้ผ่านด่านแต่ละด่าน
คือ ไม่เบื่อแน่นอน
เราล่องไปด้วยกันประมาณ 50 เมตร ก็ถึงบาร์แรก
จะมีพนักงงานโยนเชือกมาให้เรา และลากพวกเราเข้าฝั่งอย่างง่ายดาย
ถ้าเราไม่ได้เกาะกลุ่ม หรือรับเชือกไม่ได้ เค้าก็จะวิ่งตาม ว่ายตาม
ลากเราจนเข้าฝั่งให้ได้อะ ถึงแม้น้ำจะเชี่ยวแค่ไหนก็ตาม
แต่น้ำมันไม่ค่อยลึก (อันนี้เค้าบอกมา เราก็ไม่ได้พิสูจน์ว่าลึกมั้ย)
ที่บาร์แรกนี้มีคนอยู่แล้วประมาณนึง
รวมแก๊งเราอีกก็ถือว่าเยอะ และรอแก๊งหลังเราอีก
พวกนี้อยู่ดีๆก็มารวมตัวกันที่บาร์แรกโดยมิได้นัดหมาย
และรอจนได้เวลานึง เราทั้งร้าน จะย้ายไปที่บาร์ถัดๆไปด้วยกัน
หากใครไม่ดื่มแอลกอฮอล
มันก็มีนัดอัดลม น้ำเปล่า ขนม อาหารให้ซื้อด้วย
เราก็สั่งโค้กไปสวยๆก่อน เพราะกลัวเมาก่อนถึงปลายทาง
ใครจะเล่นเบียร์ปอง ก็มีให้
จะขึ้นไปเต้นบนเวที ก็มีให้
อยากออกกำลังกาย ก็มีเนตวอลเล่บอลให้
ส่วนบารากุชิชานั้น พี่อิสราเอลเพื่อนโฮสเทลเรา
ลงทุนแบกเตา แบกถ่าน ล่องห่วงยางมาด้วยเลย
อะไรพี่จะพยายามขนาดนั้น
มาที่บาร์ที่สองต่อค่ะ
หลังจากชิลอยู่ที่บาร์แรกเป็นชั่วโมง
พวกเราทั้งบาร์แรก ย้ายไปที่บาร์ถัดไปด้วยกัน
ในระยะทางประมาณ 100 เมตร(เอง)
และบาร์แรกก็โบกมือบ๊ายบาย แล้วปิดตัวลง 555
เราชอบบาร์นี้นะ ดูเก๋ดี
ด้านหน้าเป็นสนามบาสแบบเปียก
คือเปิดสปริงเกอร์เป็นฝนลงสนามเลย
และมีให้โหนซิปไลน์ด้วย
ไม่มีใครกล้าลอง เพราะดูจากน้ำในแม่น้ำแล้ว
มันดูเป็นน้ำป่าไหลหลาก ไม่น่าลง
ส่วนด้านหลัง เป็นทุ่งนาและภูเขา
เขียวขจีมากกกก ชอบมาก
การเล่นวอลเล่บอลในบรรยากาศแบบนี้ โคตรดี
แต่เราเพิ่งจะเริ่มเองเราหลวมตัวเข้าไปคุยกับแก๊ง Bitch แกีงหนึ่ง
เป็นสามสาวบิกินี่สุดฮอตแห่งกรุ๊ป และหนุ่มๆล้อมรอบ
ซึ่งเราหลงเข้ามาอยู่ในวงได้ไงไม่รู้
กำลังทำนายกันว่า คนเกิดเดือนไหน จะมีความรักแบบไหน
แต่ละคนก้ค่อยๆบอกเดือนเกิดกันไป
เดือนสิงหา คือ ความรัก กับ มิตรภาพ
ส่วนใหญ่ความรักของยูจะมาจากเพื่อนๆ หรือคนใกล้ตัว
เดือนธันวา คือ ความรัก กับ การงาน
ยูมักจะพบรักกับคนที่ทำงานด้วยกัน สังคมเดียวกัน ไรงี้
ส่วนเราเข้าไปถาม แล้วเดือนพฤษภาหละ
นางมองหน้าเรา แล้วทำท่าครุ่นคิดด้วยหางตา
ถามเราว่า ยูมาจากกรุงเทพหรอ
พูดตรงๆ เราเองก็รู้สึกไม่ถูกฉโลกกับนางบิกินี่คนนี่ซักเท่าไหร่
“ของยูอะ ความรัก กับ เงิน…
ยูจะรักคนที่มีเงินก่อน ……. ใช่มั้ย?”
อ่าว อีนี่
ไร้สาระหวะ!!!
คือเห็นเป็นผู้หญิงไทย แล้วจะคิดแต่แบบนี้หรอ
มองโลกในแง่ร้ายไปหน่อยมั้ยคะ
“ความรักอะ จะเกิดกับอะไรก็แล้วแต่
แต่มันไม่ใช่จากการฟังคำทำนายห่วยๆ นี่แน่ๆ”
เสียเวลาค่ะ! บิช!!!
(จังหวะนั้นไม่เหวี่ยงแบบนี้นะ
แค่หัวเราะใส่และทำเป็นขำไป 555
แต่หมั่นใส้จริงๆ เลยกลับไปหาแก๊งเดิม)
บาร์นี่อยู่ตรงข้ามเลย เยื้องๆ เหมือนเดินข้ามถนน
ลงห่วงยางตูดยังไม่ทันเปียก ก็โดนลากขึ้นฝั่งอีกแล้ว
อะไรมันจะแวะได้แวะดีขนาดนี้บาร์นี้เป็นบาร์สายชิลค่ะ
มีเปลเรียงราย เอาไว้ให้นอนพักผ่อน
เผื่อใคร ไม่ไหวแล้ว 555
เอ้าาา ตำจอกกกกก“ซานนนเต!”
(=ชนแก้ว ภาษาฝรั่งเศส)
เหมือนมันจะเป็นธรรมเนียมของเราเอง
เราสะสมคำว่า “ชนแก้ว” ของแต่ละภาษา
ไปประเทศไหน ก็พูดชนแก้วของที่นั้น
เจอเพื่อนชาติไหนก็พยายามพูดชนแก้วภาษานั้น
หลายคนอาจจะเริมเรียนจากคำว่า บองชูวว
ที่แปลว่าสวัสดีแต่มันก็ไม่แปลกหรอกที่จะเรียนศัพท์อื่น
เรามีเพื่อนอีกคน สะสมคำว่า “ไก่” ทุกประเทศที่มันไป
ไทย มาเล อินโด ลาว เวียดนาม พม่า กัมพูชา
อย่างงี้ก็ตลกดี มันบอกพูดได้ทุกภาษาเลย
แต่พูดได้เฉพาะคำว่าไก่ 555
ขออนุญาต ภาพตัดมาที่บาร์สุดท้ายค่ะ
เราคืนห่วงยางไม่ทัน มันต้องคึนก่อน 6 โมงเย็น
ซึ่งตอน 6 โมงเย็น ยังเล่นปิงปองอยู่ที่บาร์อยู่เลยค่าาาา
เป็นอันว่า
โดนริบมัดจำไปเรียบร้อยโรงแรียนแมว
ทุกคนที่นี่ก็เช่นกัน
ร้านเช่าห่วงยางรวยเพราะอย่างงี้แหละ 5555
ที่บาร์สุดท้าย จะมีตุ๊กๆมารอรับอยู่แล้ว หลังร้าน
จะล่องห่วงกลับก็ไม่ได้ เพราะเค้าไม่อนุญาตให้ล่องหลัง 6 โมงเย็น
มันจะเกิดอันตราย อาจหายไป และไม่มีใครมองเห็น
สนนระยะทางตั้งแต่จุด start ไปยังบาร์สุดท้าย (ยังไม่ถึงปลายทางด้วยซ้ำ)
เกือบ 1 กิโล จาก 10 กิโล ค่าาาา
555 ความคุ้มของการล่องห่วงยางอยู่ที่หนายยยย
หากอยากไปถึงปลายทางจริงๆ
ล่องอย่างเดียว ใช้เวลาประมาณ 2-3 ชั่วโมง
ซึ่งเราหยุดพักที่บาร์ละ 1-2 ชั่วโมง 555
นอกจากจะโดนปรับค่าห่วงยางแล้ว
ยังต้องจ่ายค่าตุ๊กตุ๊กกลับเข้าเมืองอีกจ้าาา
และอีกอย่างคือ บาร์แรกเบียร์จะถูกสุด ป๋องละ 10000กีบ (ซึ่งเราไม่ได้กิน)
สอง 15,000 และ 20,000 ตามลำดับ
สวัสดีทู๊ปบิ้งครั้งแรก
ฉันจะมาเก็บอีกครั้งแน่นอน
“ล่องทีเดียวไปยันปลายทางเลยอะหรอ?”
“ป่าวค่ะ จะเก็บให้หมดทุกบาร์ 5555″
jungle partyกิจกรรมวันนี้มันยังไม่จบค่ะ
หลังจากล่องห่วงยางเสร็จ คืนห่วงยาง และกลับโฮสเทลไปอาบน้ำกินหมูทะ
พวกเรามีนัดกัน ที่ SAKURA BAR มาเอา FREE DRINK ก่อน
แล้วย้ายฐานทัพไปที่ Jungle Party
“Jungle party”
ปาร์ตี้นี้จะจัดทุกวันศุกร์ ในป่าลับๆ แห่งนึงในวังเวียง
เรารู้เพราะได้รับใบปลิวที่เค้ามาแจกตามบาร์ทู๊ปบิ้ง
มีตุ๊กๆมารอรับที่หน้าซากุระบาร์ แบบฟรีๆ
ทิม ซีโมน ซาร่า เพื่อนที่ Tubing และเพื่อนที่โฮสเทล แห่กันไปหมดเลย
รวมถึง เฮลโหลคิตตี้ สปองบ๊อบ ลีโอพาร์ด และเจ๊เท็ดดี้แบร์ก็ด้วย
ตุ๊กตุ๊กพาพวกเราออกนอกเมืองไกลออกไปหลายโล
ไกลจนคิดว่า มันจะลึกลับไปไหนฟระ แล้วจะกลับยังไง
แต่ก็นึกขึ้นได้ว่า ที่อิตุ๊กตุ๊กมันให้ขึ้นฟรีตอนนี้
เพราะยังไงก็ต้องจ่ายตังขากลับกับมันยังไงเล่าาาา
ตาสว่างเลยค่าา
พวกเรามากันตอนเกือบ ตี1
(จ่ายค่าเข้า 30000 กีบแหนะ)
หลายๆคนเริ่มรั่วกันแล้ว
เพราะมันต่อเนื่องมาตั้งแต่ Tubing และ Sukara
เปิดเพลง EDM ได้ห่วยมาก แต่ก็ยังเต้นกันอยู่ดี
เราก็อยู่กับแก๊งเรา ทิม ซีโมน ซาร่า
แว๊บไปหาแก๊งโฮสเทลบ้างบางเวลา
(เราเมาจนเราสร่างแล้วค่ะ เพราะในนี้เบียร์มันแพง ไม่กินแล้ว
สติและความทรงจำก็เลยยังอยู่ครบ)เต้นอยู่ดีๆ เฮลโหลคิตตี้(ชื่อเรียกรูมเมทผ้าห่มลายคิตตี้)
ก็เข้ามาเต้นใกล้เรามากๆ มากจนผิดสังเกต
เกาะไหล่ยังโอเค เพื่อนกันไม่ซี
แต่นี้เกาะรอบเอว แล้วเอาเป้ามาถูๆข้างหลังเรา
มันไม่ใช่ละว่ะ
สัญชาตญาณมันบอกว่าไม่ดีแน่ๆ
เราเขยิบหนีเรื่อยๆ และนางก็ตามมาประกบ
ตอนนี้อยากกลับห้องมากๆ
เริ่มไม่สนุกแล้ว เลยหนีไปแก๊งอื่น
ซักพัก คิตตี้นางเดินก็เข้ามากระซิบอีก บอกว่า
“เพลงห่วยมาก อยากกลับโฮสเทลแล้ว กลับด้วยกันมั้ย”
ซวยละดิทีนี้
อยากกลับแค่ไหนก็กลับไม่ได้
ถ้ากลับกับมัน มีหวังไม่รอดแน่ๆ ต้องอยู่ห้องกับมันสองคน
เพราะรูมเมทคนอื่นก็อยู่นี่กันหมดเลย
เราเลยบอกว่า
“ไม่อยากกลับอะ อยากอยู่ต่อ”
นางก็เซ้าซี้ๆให้กลับด้วยกัน
ไปเปิดเพลงฟังที่ห้อง มันดีกว่าเพลงที่นี่เยอะเลย
เหมือนสปองบ๊อบจะรู้แกว
เข้ามาช่วยแยกคิตตี้ออกจากเรา เปรียบดั่งอัศวินขี่ม้าขาว
สปองเข้าไปคุยกับคิตตี้อะไรซักอย่าง
ประมาณว่าแกลวนลวมแมนยูมากไปแล้วนะ
พอสองคนนั้นคุยเสร็จ
คิตตี้ก็เลยมาขอโทษเรา
แล้วก็ห่างๆไป
สปองบอกว่าคิตตี้เมามาก ต้องขอโทษแทนมันด้วย
ดูทรงก็รู้แล้วค่ะ พูดมาก และพูดไม่รู้เรื่องด้วย
จนกระทั่ง ตี 4 อยากกลับมากๆแล้ว
ทิม ซีโมน ซาร่าก็จะกลับ
ก็เลยกลับไปพร้อมกัน แชร์ตุ๊กตุ๊กกัน
แต่พวกนั้นพักคนละที่กับเรานะ
พอถึงโฮสเทล เปิดห้องมา
ทุกคนเข้าห้องนอนกันหมดแล้ว ยกเว้นคิตตี้กับเจ๊เท็ดดี้
โล่งอกค่ะ
ตอนนี้นอกจากจะกลัวการอยู่คนเดียวแล้ว
ยังกลัวการอยู่แค่สองคนอีกด้วย
อิสปองบ๊อบลีโอพาร์ด กลับห้องก่อนไม่ชวนเลยยยยย
จบไปอีกหนึ่งวันที่ยาวนาน
คืนสุดท้ายที่วังเวียง
เพลงก็ห่วย ค่าเข้าก็แพง
หลอกล่อด้วยการเดินทางเข้างานมาฟรี
แต่ขากลับคิดราคาสองเท่า
สำหรับเรา ที่นี่ครั้งเดียวพอค่ะ
…
สำหรับเฮลโหลคิตตี้
เค้าไม่ได้แย่อะไรขนาดนั้น
เราว่าก่อนที่นางจะเมา
นางเป็นคนที่เฟรนลี่ ตลก น่ารัก คุยสนุกดี
แต่ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอลและอะไรหลายๆอย่าง
ทำให้ทำอะไรโดยขาดการยั้งคิด ขาดสติ และควบคุมตัวเองไม่ได้
มันเปลี่ยนคนดีๆเป็นคนเหี้ยๆ เปลี่ยนความสดใสเป็นความดาร์คมันไม่ผิดที่จะเมา
แต่มันจะผิดก็ต่อเมื่อมันสร้างความเดือดร้อนให้คนอื่น
และทำให้คนอื่นไม่พอใจ
เท่านั้นเอง…
ลาแล้ววังเวียงเราตื่นมาตอนสายๆ ก็ยังไม่เห็นคิตตี้เข้ามานอน
สงสัยนางได้สาวใหม่แล้วแหงมๆ 555
วันนี้เป็นวัน check out ออกจากวังเวียงแล้ว
เราต้องออกเดินทางไปเวียงจันทร์ต่อ
ชาวแก๊งพิกาจู ไปหลวงพระบาง
ทิมซีโมนซาร่า อยู่วังเวียงต่อ
ครั้งนี้เราเลือกจองรถจากโฮสเทล
มันสะดวกกว่า ไม่ต้องเดินไป บขส. ให้เมื่อย
แต่ต้องจองล่วงหน้า เพราะเค้าจะได้จัดสรรรถให้เพียงพอ
ในสถานที่ดังๆ การเดินทางก็เป็นอะไรที่ง่ายมาก
อยากกลับกรุงเทพ หรือต่อกัมพูชา ตอนนั้นเลยก็ได้ มีไปทุกที
ซื้อครั้งเดียว จ่ายครั้งเดียว
เดี๋ยวจะมีพนักงงานมาพาต่อรถเอง ไม่ต้องรอนาน
บ๊ายบายนะวังเวียง
เวียงจันทร์เหมือนความทรงจำเรามันหยุดอยู่ที่วังเวียง
เพราะรู้สึกว่าเวียงจันทร์มันวังเวงมาก
เรามาถึงที่นี่โดยที่เราไม่ได้วางแผนอะไรเลย (อีกแล้ว)
ลงจากรถ เดินหาโฮสเทลที่ใกล้ที่สุด
แล้วก็ไม่มีอารมณ์อยากออกไปไหน
นอกจาก
‘อยากกลับบ้าน…’
เพิ่งมีความคิดนี้ผุดเข้ามาในหัวครั้งแรก
ตลอดทริปที่เดินทางมา 14 วัน
มันคงถึงจุดอิ่มตัวแล้ว ไม่ได้อยากอยู่ต่อแล้ว
ดีใจที่วันนี้เป็นวันสุดท้าย
มันเป็นทริปแรกที่เราเดินทางหลายวันคนเดียวแบบนี้
14 วันสำหรับเรา ถือว่ายาวมากนะ
4 วันที่เชียงราย 10 วันในลาว
อาจจะสู้เพื่อนหลายๆคนที่เจอไม่ได้
เค้าเดินทางกันทีละเป็นเดือนๆ บางคนเป็นปีๆ
(เอาจริงก็ทำได้แหละ ถ้ามีตัง 555)
เราพักที่วังเวียง 1 คืน
แล้วตื่นเช้าไปขึ้นรถบัสข้ามประเทศ
ตรงกลับขอนแก่น ถึงบ้านอย่างปลอดภัย
ขอบคุณเพื่อนร่วมทางที่โคจรมาพบกัน
เราอยู่กันคนละซีกโลก โชคดีที่เราได้เจอกันเนอะ
บางคนรู้จักครั้งเดียวแล้วหายไป
แต่บางคนกลายเป็นเพื่อนที่ดี ติดต่อพูดคุย ไปมาหาสู่กันอยู่
เป็นผลพลอยได้ของการเดินทางที่ดีจริงๆ
^_^
จากวันแรกจนถึงวันสุดท้ายได้อะไรบ้าง?ความกลัว ความอาย ของเรามันถูกทำลายลง
ความกล้าและหน้าด้านเลยเข้ามาแทน
สังเกตจาก 3 วันแรก และ 3 วันหลัง ต่างกันอย่างสิ้นเชิง
สิ่งแวดล้อม คน สังคม ทำให้เราต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด(ในแบบของเรา)
มีคนบอกว่า การเดินทางคือการใช้ชีวิต
แล้วทุกวันนี้ถ้าเราไม่ได้เดินทาง แปลว่าเราไม่ได้ใช้ชีวิตหรอ
เราเคยเถียงไปอย่างนั้น
แต่รุ้มั้ย ตอนนี้เรารู้สึกว่ามันจริงอย่างที่เค้าพูด
เพราะถ้าเราไม่เดินทาง เราจะไม่มีวันรู้เลย ว่าชีวิตอีกรูปแบบนึงมันเป็นยังไง
มันแค่เป็นการใช้ชีวิตอีกรูปแบบหนึ่ง
จากหลายร้อยล้านรูปแบบ
เราเคยใช้ชีวิตอยู่ในกล่องเล็กๆมาตลอด
กล่องที่ใครๆเค้าบอกกันว่ามันสบาย
กล่องที่ใครๆเค้าบอกกันว่ามันดีที่สุดแล้ว
เราให้คำพูดของคนอื่นมาเป็นสิ่งชี้นำ ทำอย่างนี้เราจะได้ดีนะ
ทั้งๆที่เรามีสิทธิ์ เลือกเดินในแบบของตัวเอง และตัดสินมันเอง
เรารู้แล้วว่านอกกล่องนั้น มันไม่ได้สบายเท่าที่บ้านจริงๆ
แต่การเรียนรู้ และการปรับตัวให้มีความสุขกับมัน
มันก็ไม่ได้ยากเกินไปหรอก
…..
สวัสดีค่ะต้นอ้อ
……….
น้ำตกเราเหมารถตู้ไปน้ำตกตาดกวางสีกัน
กับเพื่อนจากโฮสเทลและนอกโฮสเทลอีก 8 คน
(คนละ 30000 กีบ)
จากที่ข้อมุลที่เราหามาในเนต
น้ำตกแห่งนี้ถือเป้นน้ำตกที่สวยที่สุดในลาวเลยก็ว่าได้
เป็นน้ำตกขนาดใหญ่ มีหลายชั้น น้ำเป้นสีฟ้ามรกตสวยงาม
สามารถโดดน้ำตกจากต้นไม้ ลงไปเล่นน้ำชิลๆได้
เป็นสิ่งหนึ่งที่ใครมาหลวงพระบางไม่ควรพลาดเป็นอย่างยิ่ง
ระหว่างการเดินทางเป็นไปด้วยความสนุกสนาน
พูดคุย ทักทาย ทั้งสาวญุ่ปุ่น เกาหลี รัสเซีย
ฝรั่งเศส เนเทอร์แลนด์ ออสเตรเลีย
เป็นรถตุ้ที่อินเตอร์เน๊ชะแน้วมาก
ตื่นเต้นจะได้เจอน้ำตกที่สวยที่สุดในลาวแล้ว
ถึงกับต้องตะลึงง ตึง ตึง!!!!ช็อคแพร๊พพพพพพพ
ไหนน้ำสีฟ้า
ไหนน้ำตกสวยงามแบบในภาพ
ไหนที่เล่นน้ำชิลๆ
ที่เห็นตรงหน้าเป็นน้ำป่าไหลหลากสีน้ำตาล ท่วมทางเดิน และที่นั่ง
ยังกับซึนามีป่า คือ ความสวยงามในความคิด
เปลี่ยนเป็นความดุเดือดเลือดพล่าน
น้ำที่ตกลงมาอย่างแรงและไหลเชี่ยว
รับรองได้ว่า หากตกไปคงไม่รอดขึ้นมาแน่ๆ
ไม่ต้องลงไปเล่นน้ำก็เปียกแล้ว
เพราะละอองน้ำจากน้ำตกมันกระเซ็นใส่ยังกับพายุฝน
หนาวก็หนาว
สวัสดีน้ำตกตาดกวางสีแห่งประเทศลาว
ฉันมาผิดเวลาไปนิสสส
ท่วมมเลย…
น้ำตานี่แหละท่วมเลย