ที่เที่ยว ฤดูฝน ล่องแก่งลำน้ำเข็ก เดินป่าหมันแดง ล่าหมอกภูทับเบิก

” ฤดูฝน ไปเที่ยวไหนดี?” เป็นโจทย์ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อหาที่เที่ยวในวันว่าง 4 วันนี้ก็เลยผุดเป็นทริปนี้ขึ้นมา

 

‘ล่องแก่ง เดินป่า ล่าหมอก’

 

มันน่าจะเป็นภารกิจที่เหมาะกับ ฤดูฝน สุดแล้ว เพราะการล่องแก่งให้มันส์เนี่ย น้ำต้องแรง เสียงกรี๊ดต้องมา แล้วมันก็มีแค่เดือน มิถุนา-ตุลา เท่านั้นนะที่สามารถล่องได้ ส่วนการเดินป่าฤดูนี้ จะเห็นความเขียวสดชื่นกว่าฤดูไหนๆ แถมน้ำตกก็มีนำ้เยอะด้วย และล่าหมอก เคยรู้มั้ย ว่าหมอกที่เกิดจากฝน จะก่อตัวเป็นปุยแน่นกว่าหมอกที่เกิดจากความหนาว ทำให้เห็นเมฆหมอกเป็นหมอนนุ่มๆ จนอยากกระโดดลงไปเลยหละ

เราวางแพลนกันคร่าวๆมาประมาณนี้
DAY 1 ล่องแก่งลำน้ำเข็ก พิษณุโลก
DAY 2 เดินป่าน้ำตกหมันแดง
DAY 3 ภูหินร่องกล้า ลานหินปุ่ม ลานหินแตก
DAY 4 ภูทับเบิก

เราไม่เชี่ยวด้านป่าเขาเลยซักนิด เลยให้คนอื่นจัดการให้หมด ส่วนเราขอทำหน้าที่ตามก็แล้วกัน จัดมาเลยค่าาา ขอแบบตื่นเต้นๆ มันส์ๆนะ

 

วันแรก

เราออกจากกรุงเทพประมาณ 8 โมงเช้าด้วยรถส่วนตัว นั่งรถแล้วนอนยาวๆจนไปถึงพิษณุโลกเลย ตามแพลน วันแรกนี้เราจะไปล่องแก่งกันก่อน บอกตรงๆว่า ไม่เคยล่องแก่งมาก่อนในชีวิต 5555 นี่คือครั้งแรกค่ะ กรี๊ดดด อยากมานาน เพิ่งจะมีเพื่อนไปด้วย พวกเราซื้อทริปล่องแก่งจาก Rain Forest Resort แต่ไม่ได้พักที่นี่นะ แค่มาทานข้าวเที่ยงแล้วก็ออกไปล่องแก่งเลย รีสอร์ทน่าอยู่ดี ก็เลยถ่ายรูปไว้

ล่องแก่งลำน้ำเข็ก

เป็นลำน้ำที่ยังคงความอุดม สมบูรณ์ มีสภาพธรรมชาติอันบริสุทธิ์และสวยงาม และด้วยระดับ ความยากที่ระดับ 3–5 (ระดับสูงสุดที่เหมาะสม สำหรับการล่องแก่ง) ทำให้ลำน้ำเข็กเป็นจุดล่องแก่งที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย โดยสามารถ ล่องแก่งได้ในช่วง เดือนมิถุนายน–ตุลาคม ของทุกปี เพราะเป็นช่วง ฤดูฝน มีน้ำหลาก

รถของรีสอร์ทจะขับไปส่งที่ต้นทางลำน้ำเข็ก และล่องไปประมาณ 1 ชั่วโมง ผ่านทั้งหมด 15 แก่ง พี่ไกด์จะให้ใส่หมวกและชูชีพไว้ตลอดเวลาที่ล่องนะ เพื่อความปลอดภัย เพราะมีหินเยอะมากจนเกิดเป็นแก่งน้ำเชี่ยว หากตกลงไปหัวเขกนี่ตายได้เลย มันเป็นกิจกรรมที่เสี่ยงอันตรายพอสมควร แต่มันก็เหมาะกับคนชอบความท้าทายแบบนี้แหละ ฮิฮิ

ช่วงที่เราล่องเนี่ย ฝนเพิ่งหยุดตกไปหมาดๆ ทำให้ไม่มีแดด การล่องก็เลยสนุกขึ้น ไม่ต้องกลัวดำกลัวร้อน มันจะมีทั้งช่วงไหลเชี่ยว และช่วงน้ำนิ่ง ซึ่งตอนน้ำนิ่ง เราสามารถลงไปดิ๊บกาแฟลาเต้ได้เลย คือสีน้ำมันเข้มข้นเหมือนสีกาแฟมากๆ ข้นจนถึงขนาดว่าเอา Gopro จุ่มน้ำลงไปถ่ายนิดเดียวแต่มันกลับมืดสนิท ก็ไม่รู้ว่ามีอะไรอยู่ข้างใต้นั้นบ้างนะ แต่พวกเราก็พร้อมใจกันโดดลงน้ำกันทั้งเรือ 555

สนุกมากกกกก บางแก่งก็หวาดเสียว กรี๊ดตลอด กรี๊ดตั้งแต่ความยากเลเวล 1 ซึ่งมันไม่ได้มีความเสียวอะไรเลย แค่อยากกรี๊ดบิ๊วเพื่อนร่วมทริปไปหนะ กลับไปถึงกับเจ็บคอ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ จะเก็บเสียงไปกรี๊ดดังๆที่ระดับยากสุดดีกว่า 555 เคยกลัวมาตลอด กลัวจมน้ำ กลัวไหลไปอยู่ในน้ำวน กลัวหัวแขกหิน พอลงจริงมันก็ไม่ได้น่ากลัวอะไรขนาดนั้นนี่กว่า ถือเป็นประสบการณ์ครั้งแรกแบบมันส์ๆ และคิดว่าน่าจะมีรอบต่อไปแน่ๆ

(ค่าถ่ายภาพจากฝั่ง 700บาท)
(เรือยางลำละ 4500 ลำละ 5-6 คน โดยมีพี่ไกด์ลำละ 2 คน)

บ้านร่องกล้า

หลังจากล่องแก่งเสร็จแล้ว อาบน้ำแต่งตัวที่ Rain Forest แล้วเดินทางต่อไปที่อุทยานแห่งชาติภูหินร่องกล้า พวกเราจองที่พักของอุทธยานที่นี่ไว้ตลอดทั้ง 3 คืน ต้องรีบเข้านอน เพราะต้องออกไปเดินป่าแต่เช้าวันพรุ่งนี้

(บ้านร่องกล้า 1200 บาท 2 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ นอนได้หลังละ 4 คน)

เดินป่าหมันแดง

ต้องทำความเข้าใจก่อนคือ เราเป็นคนเดียวที่ไม่เคยเดินป่ามาก่อนเลย เพราะฉะนั้นเรื่องการเตรียมตัว เรียกได้ว่าโคตรไม่พร้อม แต่ใจพร้อมมาก อุปกรณ์ทั้งหลาย เราไปหาเอาดาบหน้าทั้งนั้น แม้กระทั้ง รองเท้าเรายังเพิ่งซื้อจาก outlet ที่ปั้มน้ำมันระหว่างทางเลย 555 คือเราเตรียมแค่รองเท้าผ้าใบเก่าๆมา เพราะคิดแค่ว่าเดินป่าแล้วมันจะเปื้อนโคลนไรงี้ แต่คุณเพื่อนก็บิ๊วเลยค่ะ ว่ามันไม่ได้แน่ๆ เดี๋ยวจะลื่นเอา เออๆ ซื้อก็ซื้อวะ (โดนบิ๊วง่ายมาก เชื่อเพราะนางเป็นเซียนเดินป่า)

ส่วนถุงกันทากเราก็ซื้อจากร้านขายของชำในหมู่บ้านแถวนั้น เป็นถุงเท้ายาวๆเหมือนถุงเท้าฟุตบอลนี่แหละ แต่บางกว่า ป้าคนขายบอกว่า เนี่ยชาวบ้านเค้าก็ใช้กัน กันทากได้ชัว (นี่ก็เชื่อเค้าอีกแล้ว) เสื้อก็ต้องเอาเข้าในกางเกงเพื่อกันทากมุดเข้าไป ชุดเลยออกมาเป็นอย่างที่เห็นนี่แล

ถามว่าอายมั้ย ก็นิดนึงอะ 5555

 

ทาก

สิ่งมีชีวิตที่เกลียดที่สุด รองจากกิ้งกือ คือเพิ่งมาคิดได้ไง ว่าเดินป่าหน้าฝนแล้วจะต้องเจอทาก เลยต้องหาทางทุกวิธีเพื่อป้องกันมัน พอดีเพื่อนที่มาด้วยกัน บ้านเป็นเจ้าของเซียงเพียวอิ๊ว นางก็เอามาให้ใช้แล้วบอกว่ามันกันทากได้นะ ลองดูๆ นี่ก็เชื่ออีกแล้ว เอาเซียงเพียวมาพรมรองเท้า พรมกางเกง

“แล้วนี่เคยลองมาแล้วหรอ กันได้ชัวนะ” เราถาม
นางเลยตอบมา
“คือ เราเพิ่งเอามาลองครั้งแรกเหมือนกัน ยังไม่รุ้ว่ามันกันได้จริงมั้ย 555”
“เอิ่มมม ฉันเป็นหนูทดลองสินะ 5555”

นี่แหละค่ะ แล้วเราจะได้รู้กัน
ทุกคนในทริปก็ร่วมทดลองด้วยเหมือนกัน

 

เส้นทางเดินป่าสำรวจธรรมชาติ น้ำตกหมันแดง มีระยะทางทั้งหมด 10 กิโลเมตร ผ่านน้ำตกทั้งหมด 9 ชั้น เราจะเริ่มจากชั้นบนสุดของน้ำตก และเดินลงเรื่อยๆ จนไปโผล่ที่หมู่บ้านหมันขาว ใช้เวลาประมาณ 6 ชั่วโมง

เราชอบความเขียวของป่าหน้าฝนนะ มันเขียวสดมากกว่าฤดูไหนๆ แถมยังได้กลิ่นดินหอมๆอีกด้วย

ในระยะแรกก่อนถึงน้ำตก เป็นทางลงเขา มีลื่นเป็นบางตอน แต่ก็ไม่ได้ยากมาก ประมาณ 2.30 ชม ก็ถึงน้ำตกชั้นแรก

เซียงเพียวของนางได้ผลดีนะ มีทากมาเกาะแค่ตัวเดียว และโชคดีที่เห็นก่อนที่มันจะใต่ไปจุดอื่นของร่างกาย ก็เลยเอาไปหยอดตัวมัน มันม้วนตัวบิดใหญ่เลย แอบสงสารแกอยู่นะ ยังไม่ได้ดูเลือดพี่เลย ไปซะละ ส่วนคนอื่นๆ มีเกาะเป้าบ้าง กางเกงบ้างตัวสองตัว แต่ยังไม่มีใครโดนดูด

นี่น้ำตกชั้น 1

เราไม่ได้ถ่ายน้ำตกทุกชั้นค่ะ ถ่ายแต่อันที่เดินลงไปดูไหว 555 ชั้น2-4 ข้ามไปเลยแล้วกัน เราแวะพักทานข้าวกันที่ชั้น 5 ค่ะ เป็นอาหารที่สั่งจากร้านที่อุทธยาน ห่อใส่ถุงมา ทุกคนจับจองพื้นที่โขดหินเป็นของตัวเอง กินเสร็จก็เล่นน้ำ ลัลล้ากันไป

พอถึงชั้น 6 เราต้องเดินข้ามน้ำตกมาอีกฝั่งค่ะ


จบน้ำตกทั้ง 9 ชั้นเรียบร้อย แต่เรายังต้องเดินต่อไปอีก เพื่อไปขึ้นรถกลับที่หมู่บ้าน ซึ่งจุดพีคมันอยู่ตรงนี้แหละ ระหว่างทาง เจอทากเยอะกว่าด่านแรกมากๆ เยอะแบบที่มองไปที่พื้นแล้วเห็นพวกนางชูคอรอโดดเกาะอย่างตั้งใจ เยอะแบบวางเท้าลงไปไป ยังไงก็โดนชัว ก้าวหนีก็ไม่ได้นะ เพราะมีหลายครอบครัว ทุกไซด์ ทุกชนาด พ่อแม่ลูก ปูย่าตายาย มาหมด ต้องเดินเร็วๆเท่านั้น เพื่อให้ไปถึงปลายทางเร็วที่สุด นี่ขนาดเตรียมใจประมาณนึงแล้วนะว่าต้องเจอ แต่ไม่คิดว่ามันจะเยอะขนาดนี้

พี่เจ้าหน้าที่นำทางยังบอกเลยว่า วันนี้ทากเยอะมากๆ “เดินครับๆ อย่าหยุดๆ” เพราะถ้าหยุดมันจะโดดเกาะทันที

จังหวะที่ต้องจ้ำอ้าวไปนี่แหละ หันมามองรองเท้าตัวเองอีกที มันจัดปาร์ตี้กันที่รองเท้าแล้วจ้าาา แค่นึกก็สยองแล้ว นี่ยังไม่รวมแก๊งชูคออีกเป็นร้อยๆที่รอเราอยู่ ต้องคอยหยอดเซียงเพียวไปให้มันหลุดๆไป พอหลุดแล้วตัวใหม่ก็มาเกาะ หยุดเดินก็ไม่ได้

จะร้องไห้ T_T เซียงเพียวหมดค่ะ

เรากลัวทากเป็นทุนเดิม แต่ตอนนั้นคือถ้าไม่เขี่ยมันออก มันจะใต่มาดูดเลือด ต้องใช้ความกล้ามากถึงมากที่สุด เพื่อต่อสู้กับมัน ไม่สิ ต้องบอกว่าต่อสู้กับความกลัวของตัวเองมากกว่า
เครียดมากกก
เตรียมใจมาไม่พอ

แต่ถึงเวลาแล้วสินะ ที่จะต้องหยิบมันออกไป ด้วยมือเปล่า

ประมาณ 2 กิโลที่ต้องอยู่ในดงทาก แล้วก็ผ่านมันมาจนได้ ณ จุดนั้นคือดีใจมาก โล่งมาก รอดแล้วว้อยยยยยยยยย !!!!! ออกจากป่ามาก็รีบแกะทากออกจากรองเท้า เช็คร่างกายทุกส่วน ไม่มีทากตัวไหนได้เลือดเราไปค่า ส่วนบางคนโดนทากเข้าสะดือ เข้าไปในเสื้อก็มี เพราะไม่ได้เอาเสื้อเข้าข้างใน เราว่าทากมันมีเยอะเกินไปจนไม่ว่าจะกันด้วยวิธีไหนก็เอาไม่อยู่หรอก

สรุปผลการทดลองวิธีกันทาก

เซียงเพียวอิ๊วถ้าเอาไปพรมรองเท้าให้มันชุ่มๆก็สามารถกันได้ แต่ไม่นานเพราะมันระเหย มันเหมาะกับตอนหลังจากโดนดูดแล้วมากกว่า เพื่อให้ตัวหลุดออกจากเราโดยที่เลือดก็หยุดไหลด้วย ที่สำคัญคือมันเป็นยาฆ่าเชื้อได้อีกต่างหาก

เกลือ สามารถทำให้ทากหลุดออกได้ แต่ถ้าพรมเกลือบนรองเท้า เดินลงน้ำตกไป หรือหยาดน้ำค้าง เกลือมันจะหลุด อยู่ได้ไม่นานต้องพอกใหม่

น้ำใบยาสูบ อาบรองเท้า สำหรับเรา มันไม่ช่วยอะไรเลย ถ้าต้องเจอทากเยอะขนาดนั้น มันก็เกาะอยู่ดี แต่เห็นว่ามันเหมาะกับใช้โปะแผลหลังจากโดนดูดไปแล้ว

ทั้งทริปเราก็ได้ลองแค่นี้แหละ มันอาจจะมีหลายวิธีที่สามารถกันได้ ก็ต้องลองๆกันดู อย่าลืมว่าทากมันมีทั้งที่อยู่บนพื้น และอยู่บนต้นไม้นะ คนละพันธุ์กัน มันเข้ามาหาเราได้ทุกทิศทาง จากต้นไม้เนี่ยจะเป็นสีเขียว แถมตัวใหญ่กว่าชนิดที่พื้นด้วย บรึ๋ยยยยยย

ถึงทากจะสอนให้เรากล้า แต่ก็ยังเกลียดแกอยู่ดี ตอนนี้ถ้าจะให้กลับไปเดินทางเดิมอีก ไม่เอาแล้วนะ แต่ถ้าเป็นทางไปสถานที่ไหม่ แล้วต้องเจอดงทากแบบเมื่อกี้ ก็ไม่แน่หรอก เพราะเรามีภูมิต้านทานแล้ว(นิดนึง) ขอจบวิชาทากเพียงเท่านี้ค่ะ ขนลุก!

…….

วันที่ 3

วันนี้เป็นวันชิลๆ อนุญาติให้ทุกคนตื่นสายได้ เพราะเราใช้พลังงานหนักกันมากเมื่อวาน เราตื่นมา10โมง มาทานอาหารเช้ากันก่อน แล้วก็นั่งรถไปเที่ยวรอบๆภูหินร่องกล้า

โรงเรียนการเมืองการทหาร

ถึงแม้เราจะไม่ค่อยสนใจการเมืองซักเท่าไหร่ แต่เราว่าที่นี่มันก็น่าสนใจนะ มันเคยเป็นโรงเรียนที่ให้การศึกษา ตามแนวทางของลัทธิคอมมิวนิสต์ มีบ้านหลายๆหลัง กระจัดกระจายอยู่ แต่ละหลังก็แบ่งเป็นฝ่ายๆ เช่นฝ่ายพยาบาล ฝ่ายสื่อสาร ฝ่ายพลเรือน เป็นต้น เราว่าสวยดี มีความเขียวมาก ถ้ามาหน้าหนาว ใบไม้ที่ร่วงลงมาจะเป็นสีแดง หลังคาบ้านก็จะแดงด้วย

เห็นสีเขียวขนาดนี้แล้วชื่นปอดจัง อยากสูดมาเก็บไว้หายใจที่กรุงเทพ

ลานหินปุ่ม

เราว่าที่นี่เท่มาก หินอะไรปุ่มได้ขนาดนั้น ธรรมชาติชอบมีอะไรให้ surprise ตลอดเลย เราเห็นที่นี่แล้วอึ้งพอๆกับเห็นสามพันโบกที่อุบลเลยอะ โชคดีมาก พอเรามาเมฆหมอกก็เปิดทางให้เราได้ชมวิวเลย

ผาชูธง

เป็นหน้าผาสูงชัน สามารถมองเห็นวิวได้เหมือนลานหินปุ่ม แต่แล้วหมอกก็ลงมา T_T

ลานหินแตก

อันนี้จะคล้ายๆกับลานหินปุ่มเหมือนกัน แต่เรามาเพื่อจะมาดูพระอาทิตย์ตกดิน ปรากฏว่า โชคไม่เข้าข้าง หมอกหนามากกกกกก มองไม่เห็นอะไรเลย

จบไปอีกหนึ่งวัน ที่ต้องเดินพร้อมความปวดเมื่อยมาตั้งแต่วันก่อน ต้องนวดด้วยเซียงเพียวรีลีฟ บรรเทาอาการปวดมเมื่อยกล้ามเนื้อ อะขายให้นางหน่อยค่าาา นางบอกเนื้อครีมซึมเร็ว ออกฤทธิ์นาน ไม่ได้กลิ่นยา รับรองว่าถ้าใช้แล้วคนข้างๆไม่ได้กลิ่นแน่นอนนน 5555

 ล่าหมอกภูทับเบิก

ไปๆมาๆ นี่ผ่านไป 3 วันแล้ว เร็วเหมือนกันเนาะ วันนี้เป็นอีกวันที่เรารอคอย ภูทับเบิก อยากมานานแล้ว อยากดูทะเลหมอก เคยเห็นแต่ทะเลจริง อยากเปลี่ยนเป็นเห็นทะเลหมอกบ้างไง ซึ่งเค้าบอกว่า ถ้าอยากดูหมอกหนาๆอะ ให้มาหน้าฝน ไม่ใช่หน้าหนาว หมอกหน้าฝนมีความเป็นมวลก้อน ปุกปุยมากกว่า ส่วนหมอกหน้าหนาวจะมีความฟุ้งกระจายเป็นวงกว้าง จุดนี้ถึงกับต้องจอดรถข้างถนนลงมาถ่ายเลยนะ อ๊าาา ฟิน

อันนี้ก็จุดมหานิยม ที่ใครๆมาก็ต้องถ่าย

เวลาเจออากาศหนาวๆแล้วได้กินอะไรร้อนๆนะ จะดีมาก มันเผาญี่ปุนนี้ เป็นอะไรเหมาะที่สุดแล้ว อุ่นน

ถึงเวลากลับละ ทางนี้เป็นทางโหดขึ้นชื่อทางหนึ่งเลย เป็นทางโค้งลงเขาหลายๆโค้งติดกัน รับรองต้องมีเมารถกันบ้างหละ เอายาดมมาดม แล้วหลับตานอนเลยค่า เมารถดีนัก

กลับแล้วนะทริป สุด ADVENTURE 4 วัน 3 คืนในช่วงฤดูฝน มันดีนะ ที่บางครั้งเราควรเปิดโอกาสให้ตัวเองไดลองเจออะไรใหม่ๆ ลองทำอะไรใหม่ๆ ลองเห็นอะไรใหม่ๆ เพราะถ้าเราไม่ลองด้วยตัวเอง เราจะไม่รู้เลยว่ามันรู้สึกยังไง ดีแค่ไหน แย่แค่ไหน ไม่จดจำเท่าได้สัมผัสเอง

 

 

สวัสดี :}

 

 

 

Hello

TEST 1

FOLLOW ME

More Stories
Cruising in BANGKOK | Route 001 Hidden treasure รีวิวพาเที่ยวกรุงเทพในหนึ่งวัน